top of page

อุปสรรคมีให้ก้าวข้าม จับมือกันไว้ให้แน่นๆ

  • Writer: WiNutcha
    WiNutcha
  • Feb 13
  • 1 min read

Updated: Jul 3

การเริ่มทำธุรกิจของตัวเองไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ยิ่งถ้าเราไม่ได้เกิดมามีต้นแบบ สมาชิกในครอบครัวที่เค้าเป็นนักธุรกิจ หรือทำกิจการของตัวเอง แถมเราเติบโตมาในครอบครัวที่คนในครอบครัวหรือเครือญาติ เป็นลูกจ้างเสียส่วนมาก หรือมีกิจการค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเราก็ไม่เคยได้เรียนรู้หรือสัมผัสกับการบริหารคนจากคนที่มีประสบการณ์ด้านนี้จริงๆ จังๆ แต่เมื่อลงเรือลำเดียวกับสามีแล้ว ก็ต้องลองสู้กันสักตั้ง

เมื่อได้มีโอกาสมาทำธุรกิจด้วยตัวเองพร้อมกับสามี ซึ่งช่วงปี 2015 ได้กระโดดมาเป็นเจ้าของเต็มตัวกันทั้งสองคน อยากจะบอกว่ามันไม่ง่ายและก็เหนื่อยมากๆ ในช่วง 1-3 ปีแรก เพราะว่าเราทั้งคู่ไม่ได้มีประสบการณ์ด้านการทำธุรกิจมาก่อน และที่ยากสุดก็คือ วัฒนธรรมและความคิดของเรากับสามี สถานะตอนนั้นเป็นแค่แฟนกันและพึ่งคบกันได้ประมาณ 2 ปี สามีเป็นคนสวิสเซอร์แลนด์ที่คนไทยก็จะชอบร้องว่า ดีจังเลยได้แฟนชาตินี้ แต่จะบอกว่า ลองคบดูนะ แล้วจะซึ้งใจ คนสวิสฯเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น ทำอะไรต้องดี เพอร์เฟค แต่ถ้าเรามาทำงานบนเกาะที่คนที่ทำงานให้เราเป็นคนไทย คนพม่า ความคิดและทัศนคติการทำงานมันคนละอย่างกัน มันแทบจะตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ เราคนไทยก็จะทำงานกันแบบสบายๆ อย่าจุกจิกเดี๋ยวไม่ทำให้เลยนะ แต่คนสวิสฯ ก็จะทำไมทำไม่ได้ตามที่คุยกันไว้ ไม่จริงจัง เพราะเค้าทำงานจริงจังกันไง มาเจอพี่ไทยเราสายชิลล์ ยิ่งคนมาทำงานบนเกาะนี้ ทำงานกันแบบนึกว่าพักร้อน ทำไมถึงชิลล์เวอร์

เราเป็นคนกลางก็ต้องทำยังไงก็ได้ให้ธุรกิจเราไปรอด ให้คนที่ทำงานให้เรายังมาทำงานให้เรา คือสามีเราก็ไม่ผิดนะ เค้าว่าจ้างให้มาทำงานหรือซ่อมแซมอะไรให้ ทำไมไม่ทำตามที่ตกลง รับปากว่าได้ สุดท้ายไม่ทำ คือถ้าลงมือทำไม่ว่า แต่ไม่ทำเลย อันนี้ก็น่าว่าถูกต้องไหม

แต่กลายเป็นว่าในความแตกต่างของเรากับสามี มันกลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัว สามีเราเรียนจบด้านการบริหารจัดการโรงแรมมาจากประเทศเค้า ทำให้เค้ารู้ว่าต้องบริการลูกค้ายังไงให้ได้ระดับ 5 ดาว และเค้าเป็นคนต่างชาติ เค้าก็จะรู้ว่านักท่องเที่ยวต้องการอะไรจากการมาเที่ยวประเทศไทย โดยเฉพาะถ้ามาเที่ยวตามเกาะที่ห่างไกลความเจริญ ส่วนเราคนไทยก็มีน้ำจิตน้ำใจ ยิ้มแย้มแจ่มใส เอาใจลูกค้าเก่ง ที่สำคัญเราสื่อสารกับลูกค้าได้ค่อนข้างดี ทั้ง ฟัง พูด อ่าน เขียน ทำให้ลูกค้าไว้วางใจ ฝากผีฝากไข้กับเราได้ ทำให้ธุรกิจของเราไปได้ดีตั้งแต่ช่วงปีแรกๆ แต่ก็เหนื่อยตรงพนักงานที่เรายังหาคนที่เข้าใจทิศทางการทำงานของเรา และรูปแบบที่เราต้องการทำให้กับลูกค้า ก็ใช้เวลาเป็นสิบๆ ปี กว่าจะผ่านมาได้

แต่เราก็ต้องเข้าใจว่า เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว คนที่มาทำงานบนเกาะยังไม่ค่อยพัฒนาเท่าไหร่ เค้าก็ชินกับความสบายๆ มันก็ทำให้เราต้องอยู่ในโหมดเอาตัวรอดในทุกๆ วัน ก็ฝึกตัวเราให้เก่งกล้าสามารถ เอาตัวรอดให้ได้ในทุกสถานการณ์ ฝึกฝนตัวเองมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางมากขึ้น พนักงานที่อยู่กับเราก็ทำงานด้วยความตั้งใจ เพราะเค้าเรียนรู้ว่าถ้าไม่ทำงานให้ดี พี่วิก็เอาออกเค้าก็ต้องหางานใหม่ แต่ถ้าทำได้ดี วิณัชชาก็ส่งเสริมสอนงานให้เค้า ให้โอกาสเค้าได้เติบโต ตอนนี้ที่รีสอร์ทก็เหมือนโรงเรียนฝึกวิชาชีพไปแล้ว เวลาเค้าอยากจะเสนอแนะหรือเค้าอยากขอคำปรึกษาเราก็ช่วยเต็มที่ จนตอนนี้เราเหมือนจะเป็นทั้งแม่และพี่สาวให้กับเด็กๆ ที่ทำงานไปแล้ว จนลูกค้ามักจะออกปากชมว่า เด็กๆ ทำงานด้วยใจ มีความตั้งใจ พร้อมช่วยลูกค้าตลอด รักในการบริการ วิณัชชาคอยบอกเค้าเสมอว่า ถ้าเราจะทำงานไปวันๆ เพื่อรอวันเงินเดือนออก ไปทำที่ไหนก็ได้ เพราะก็ได้เงินเหมือนกัน แต่ถ้าจะอยู่กับเราต้องตั้งใจทำงาน มีความมุ่งมั่น มี Passion ในงานที่เราทำ รักในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ในทุกๆ วัน เค้าก็ซึมซับและเราก็ทำให้เค้าดูทุก ๆ ครั้งที่เราเข้าไปที่รีสอร์ท เราไม่เน้นพูด เราเน้นปฏิบัติให้เค้าดู ให้เค้ารู้ว่าเราสอนเค้าได้ เราก็ทำเองได้เหมือนกัน

จนมาปีนี้ วิณัชชากับสามีก็ได้ไปใช้ชีวิตตัวเองบ้างได้แล้ว ไม่ต้องอยู่ที่รีสอร์ทตลอดเวลา เหมือนตอนที่พึ่งทำธุรกิจกันเองใหม่ๆ ตอนนั้น ตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า นอนเที่ยงคืนทุกวันไม่มีวันหยุด ติดต่อกันเป็นปีๆ แต่ตอนนี้เรามีเวลาไปเที่ยวมากขึ้น ไปกรุงเทพ ฯ บ้าง ไปพักค้างคืนที่สมุยบ้าง หรือบางทีวิณัชชาก็จะไปภูเก็ต ส่วนสามีก็ออกไปตกปลา 5-6 วัน บนเรือบ้าง เราเริ่มได้ใช้ชีวิต เริ่มได้ควบคุมชีวิตของเราเอง อยากจะกินอะไร อยากจะไปไหน อยากจะซื้ออะไร เราสามารถกำหนดเองได้ ที่ทำได้ณ วันนี้มันก็เกิดจากการทำงานอย่างหนักและตั้งใจ ทำงานบนความจริงใจ ซื่อสัตย์ต่อลูกค้า ต่อพนักงาน ต่อคู่ค้าที่เราว่าจ้างเค้า เค้าถึงบอกว่า ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน

เปรียบเหมือนกับการปลูกต้นไม้ที่ออกผล เราหาดินดีๆ เราคอยรดน้ำ ใส่ปุ๋ย พรวนดิน ตัดแต่งกิ่ง คอยเช็คพวกศัตรูพืช หรือพวกแมลงต่างๆ ไม่ให้มารบกวนต้นไม้ขอเรา พอวันที่ออกดอกออกผล ก็ถึงเวลาที่เราจะได้เก็บเกี่ยว เอาผลผลิตมากิน แต่ก็ต้องกินใช้อย่างมีสติ เพราะวันข้างหน้าเราไม่รู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น

เหมือนที่วิณัชชาเคยเจอกับเหตุการณ์ Covid-19 ชีวิตของวิณัชชาและสามีก็เหมือนนั่งรถไฟเหาะเลยค่ะ เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไร แต่ที่แน่ๆ มีเหตุการณ์ที่ทำให้สามีบอกเราเลยว่า ฉันอยากกลับบ้าน

 
 
 

Comments


bottom of page