Search Results
10 results found with an empty search
- เมื่อชีวิตเราเหมือนรถไฟเหาะ
หลังจากที่ได้ทำธุรกิจรีสอร์ทแบบลองสนามขนาดเล็กๆ จำนวน 8 ห้อง เราก็พร้อมที่จะเติบโตขึ้น มีปัจจัย 2 อย่าง ที่ทำอยู่ไม่สามารถโตต่อได้และมีปัญหาเรื่องการก่อสร้างของเพื่อนบ้านที่ดูท่าทางจะไม่จบง่ายๆ ทำให้เรามีปัญหากับทางลูกค้าที่มาพักอาศัย พวกเราต้องการที่จะเติบโตในแง่ของรายได้ และเรารู้ว่าศักยภาพของเราสามารถไปต่อกับรีสอร์ทที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ด้วยแนวคิดของสามีที่สามารถตอบโจทย์ให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาเที่ยวเกาะพะงัน และการดูแลเอาใจใส่ในงานบริการของเราแบบคนไทย ที่สร้างความประทับใจทำให้เกิดประสบการณ์ที่ดีให้เค้านำกลับบ้านไป ดังนั้นมันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจ และความมุ่งมั่นในการค้นหาของสามี ก็ทำให้เราได้ทำ Zama Resort เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2018 ซึ่งกิจการก็เติบโตไปด้วยดี เพราะเรานำเอาประสบการณ์ที่เราทำที่เก่ามาใช้ แค่มีห้องมากขึ้น ทั้งหมด 23 ห้อง รวมทั้งมีร้านอาหาร ที่ถือว่าเป็นกิจการที่สร้างความท้าทายให้กับสามีมากๆ ในช่วง 1-2 ปีแรกวิณัชชาจะไม่ค่อยเข้าไปยุ่งกับการบริหารมากนัก เพราะเราอยากให้สามีบริหารเองและดูแลลูกน้องด้วยตัวเอง อาจจะเพราะช่วงที่เราทำด้วยกันแรกๆ เรามีปัญหาทะเลาะกันเรื่องทัศนคติในการทำงานในการบริหารคนที่ไม่เหมือนกัน ทำให้เราเกิดปากเสียงบ่อย แต่ทางสามีเค้าไม่ค่อยคิดมาก หรือเค้าคิดไม่ถึง เค้าก็เลยไม่ได้คิดว่ามันอาจจะสร้างปัญหาในชีวิตคู่ได้ ซึ่งเราเป็นผู้หญิงที่ถ้าไม่พอใจ เราจะพูดเลย เราจะไม่ทน เพราะมีความมั่นใจและพึ่งพาตัวเองได้สูง เราก็เลยไม่อยากจะไปปะทะกับเค้าในทุกๆ วัน และอีกอย่างเราเรียนรู้ว่าถ้ามีเจ้านายมากกว่า 2 คนขึ้นไป มันจะสร้างปัญหาในเรื่องการสื่อสาร เพราะสามีก็จะมีความคิดว่าเราใช่ไหมที่เป็นคนอนุญาตให้พนักงานทำอะไรตามใจตัวเอง ทั้งที่เราก็ยังไม่ทราบเรื่องราว พอมันโดนถามแบบนี้บ่อยๆ เราก็รำคาญ ก็เลยใช้วิธีนี้ในการเลี่ยงปัญหาการทะเลาะกัน ทำงานร่วมกันแบบสามีภรรยา ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เจอกัน 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์เป็นปี ๆ จะไม่มีทะเลาะกันเป็นไปไม่ได้ ก็ยังงงๆ ว่าเราสองคนอดทนมาได้ยังไง 555 พอเข้าปี 2019 ทุกอย่างก็กำลังไปได้ดีในเรื่องรายได้ เพราะมีลูกค้าเข้าพักตลอด แต่ก็จะมีเรื่องพนักงานที่ยังมีปัญหา ยังไม่นิ่ง ซึ่งตรงนี้เราก็เข้าใจเพราะมันเป็นปัญหาที่เกิดตลอดทุกที่ เรื่องการบริหารคนเป็นงานที่ยากสุดแล้ว เราก็ค่อยๆ ปรับ ค่อย ๆ จูนกันไป ปี 2020 ทิศทางทุกอย่างไปได้ดี ช่วงต้นปีเรามีลูกค้าเข้าเต็มไปจนถึง เมษายน แต่เพื่อนๆ เห็นเลข 2020 ไหม รู้ใช่ไหมอะไรเกิดขึ้น Covid 19 ไงหละ แม่เจ้าตอนแรกเราก็คิดว่ามันคงเป็นโรคระบาดที่สักพักก็จัดการควบคุมได้ อีกอย่างรัฐบาลมาประกาศให้นักท่องเที่ยวหยุดการเดินทางทั่วประเทศ รวมทั้งให้รีสอร์ทปิดชั่วคราวไปก่อน ซึ่งตอนแรกเราก็คิดว่ามันช่วงเมษายน เป็นช่วงหน้าโลว์ของเกาะพอดี ถือว่าได้พักสักเดือนสองเดือนหละกัน แต่ๆ มันไม่ใช่แบบนั้นมันยาวไปเลยจ้ะ ไม่เห็นแสงสว่างใดๆ ที่ปลายอุโมงค์ ค่าเช่าก็จ่ายไปแล้วเมื่อต้นปีส่วนที่เหลือก็ยังไม่มีรู้ชะตาชีวิต โชคดีที่เราสามารถปรับตัวโดยได้รายได้จากการให้เช่ารายเดือนแทน และต้องปลดพนักงานออกจากมี 20 กว่าคนเหลือ 4 คนเพื่อจะต้องมาดูแลรีสอร์ทไม่ได้เก่าโทรม และต้องมีแม่บ้านไว้ทำความสะอาดห้องตลอด แต่อย่าไปคิดเรื่องเงินเลยได้มาเอามาจ่ายค่าลูกน้อง น้ำไฟเล็กๆ น้อย ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ผ่านเข้าปี 2021 ก็ยังไม่มีวี่แวว เราก็ใจตุ้ม ๆ ต่อมๆ ว่าชีวิตพวกเราจะไปทางไหนดี และก็เกิดเหตุการณ์ร้ายๆ เข้ามาในชีวิตมากมาย ทั้งเรื่องโดนโกงจากบัญชีที่เราจ้าง เรือสามีล่ม แมวที่เลี้ยงเสียชีวิต วิณัชชาตกบันไดกระดูกเท้าแตกต้องเข้าเฝือก โดนหลอกจากเรื่องเว็บไซต์ลูกโซ่ รวมๆ แล้วเสียเงินไปเป็นล้าน สามีบอกฉันจะย้ายประเทศ ไม่อยู่แล้วไทย ไปเม็กซิโกดีกว่า ไม่มีการกักตัว ยอมเสี่ยงชีวิตดีกว่าอดตาย แต่เราก็พ้นมาได้ เพราะรัฐบาลประกาศเปิดประเทศสิ้นปี 2021 เราก็ได้ต่อลมหายใจอีกเฮือก ตอนนั้นบอกสามีเราต้องมาเริ่มต้นกันใหม่เรามาสู้กันอีกรอบอะไรจะเกิดก็สู้ให้ถึงที่สุด ตอนนั้นวิณัชชากับสามีก็เริ่มต้นกันอีกรอบ กระดูกเท้าพึ่งกลับมาติดสนิทก็เดินกันจนเท้าบวม ก็คิดว่าไม่เป็นไรเราไม่ติดโควิทไม่เคยนอนซม เราจะสู้อีกครั้ง คิดว่าเมื่อมีโอกาสมีลมหายใจ ฉันจะทำทุกวันให้ดีที่สุด แต่เชื่อไหมที่น่าตลกคือ พอเปิดประเทศได้แค่ไม่ถึง 1 -2 เดือนก็เกิดเรื่อง cluster อีก และเราก็มีจองมาถึงแค่วันที่ 2 มกราคม 2022 ตอนนั้นสามีบอกเราก็คงต้องกลับไปทำแบบรายเดือนไหม เราบอกไม่เอารายวันเท่านั้น เพราะเราเชื่อว่ามันก็ต้องมีนักท่องเที่ยวตกค้างอยู่ในไทยนี้แหละ และปี 2022 เกาะพะงันบูมเฉย คนมาเที่ยวเยอะมากๆ และมากๆ จนถึงเมื่อต้นปีที่ผ่านมา กลายเป็นว่าเรากลับมายืนได้อีกครั้ง แต่การยืนครั้งนี้ก็ต้องใช้สติมากขึ้น เราจะไม่ลงทุนกับอะไรที่เราไม่มีความรู้ เราจะไม่โลภอยากได้เงินเยอะๆ เราจะรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพราะกายและใจที่แข็งแรงและแข็งแกร่งจะเป็นตัวดึงเงินมาหาเราเอง เรากับสามีก็ผ่านช่วงเวลาที่ลำบากมา เราก็ยังรักกันอยู่เคียงข้างกัน ถึงจะมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง เพราะสามีเราเค้าเป็นคนที่ไม่เก็บอารมณ์ถ้าเค้าโมโหมาที่บ้าน (ส่วนมากฝรั่งเป็นกันเยอะ ควบคุมอารมณ์กันไม่เป็นมั้ง 555) แต่ไม่เคยทำร้ายร่างกายเรานะ เป็นคนพกอารมณ์โกรธกลับมาบ้านและก็จะวีนๆ แล้วเราไม่ชอบ เราไม่อยากอยู่กับคนที่คุมอารมณ์ตัวเองไมได้ เพราะจะกลายเป็นคนไม่มีสติ โมโหร้าย คิดดูซิว่า ถ้าเค้าอายุ 70 ปีแล้วเป็นตาแก่ขี้วีน มันดูดีไหมอ้ะ เราก็เลยบอกเค้าไปว่า ถ้าไม่รู้จักสงบสติอารมณ์ปีหน้า ฉันจะขอหย่า และฉันจะโทรไปหาแม่เธอ ขอแม่เธอเป็นลูกสาวบุญธรรม เพราะแม่เธอก็รักฉันเหมือนลูก แล้วคอยดูปีหน้าฉันจะเป็นพี่สาวบุญธรรมของเธอ สามีเค้ารู้นะว่าเราเอาจริง เค้าก็เลยไปหาอ่านบทความการควบคุมตัวเอง 5555 แต่กลายเป็นเรานี้แหละที่ติดนิสัยขี้วีนมาจากเค้า เวลาเค้าทำอะไรไม่พอใจ ดิฉันเสียงดังแว้ดใส่ก่อนเลยจ้ะ
- อุปสรรคทำให้เราแกร่งขึ้น
ทุทการเริ่มต้นใหม่บนเส้นทางชีวิต มันจะมีผู้คนและเหตุการณ์ใหม่ๆ ที่จะมาท้าทายเราเสมอ ความกลัว ความกังวล ความไม่รู้ และความไม่แน่นอนว่าอะไรจะเกิดขึ้น เป็นอารมณ์ปกติที่เราจะต้องมี การเอาชนะอารมณ์ลบๆ แบบนี้ได้ จะต้องอาศัยความอดทน ความกล้าที่จะเปลี่ยน และการยอมรับความเป็นจริง จะทำให้เราอยู่ได้และอยู่ได้ดีบนโลกแห่งชีวิตจริง ตอนที่วิณัชชาย้ายมาอยู่เกาะพะงันใหม่ๆ ก็มีความกังวลว่าสิ่งที่คิดไว้กับสิ่งที่เกิดจะตรงกันไหม แต่ก็เกินคาดเพราะเราอยู่ได้ เราอยู่ในที่ๆ เหมาะสม เราได้ใช้วิชาความรู้ที่เรียนมา ทั้งภาษาอังกฤษ คอมพิวเตอร์ หรือการสะสมประสบการณ์การทำงานกับลูกค้าต่างชาตินำมาใช้ให้อาชีพตัวเองเจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว เพราะเราไม่ได้แข่งกับใครเราแข่งกับความกลัวของตัวเอง เรากล้าเปลี่ยนชีวิตตัวเองและชีวิตจะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างจากที่เคยเป็นอยู่ หลังจากทำงานไปสักพักก็มีคนมาเสนอให้เช่าทำรีสอร์ทจำนวน 8 ห้อง พร้อมธุรกิจสปา เป็นครั้งแรกที่เราได้ทำกับแฟนในสถานะตอนนั้นของสามี ทั้งที่เราก็พึ่งเรียนรู้นิสัยใจคอเค้า เค้าก็ต้องเรียนรู้นิสัยเรา เราคบกันเข้าปีที่ 2 ก็ตกลงปลงใจมาร่วมหัวจมท้ายช่วยกัน ในเมื่อลงเรือลำเดียวกันแล้วก็ต้องช่วยกันพายเรือให้ไปตลอดรอดฝั่ง การทำธุรกิจด้วยกันครั้งแรก เราต้องเจอปัญหาใหม่ๆที่เราไม่เคยเจอ ทั้งเรื่องการบริหารเงินที่เราจะใช้ทำธุรกิจที่งบมันบานปลายมากกว่าตอนคิดไว้ สามียืมเงินแม่มาจำนวนหนึ่ง และเราก็เอามาจ่ายค่าเช่าและทำการซ่อมแซมรีสอร์ทให้พร้อมสำหรับรับลูกค้า แต่เชื่อไหมพอเดือนแรกที่เปิดเราไม่มีลูกค้าเลย เพราะเราพึ่งเปิดยังไม่มีใครรู้จักเรา เงินมีไม่พอจ่ายค่าพนักงาน วิก็ขอหยิบยืมญาติมาเพื่อจะได้มีจ่ายลูกน้อง ตอนนั้นมีแม่ของวิมาช่วยทำงาน วิณัชชากับสามีสำนึกในบุญคุณของแม่พวกเรามากๆ ที่ช่วยเหลือเรา แม่สามีช่วยเรื่องเงินมาลงทุน ส่วนแม่เราก็ช่วยออกแรงช่วยเราทำงาน ไม่ว่าจะช่วยทำกับข้าว ช่วยนวดลูกค้า สู้กันมา 4 คน ลูกสาว แฟนลูก แม่เรา แม่สามีที่คอยให้กำลังใจพวกเราจากต่างแดน เป็นการทำธุรกิจแบบครอบครัวขนานแท้ พอผ่านไปได้สัก 2-3 เดือน เราก็มีลูกค้า walk in และก็มีลูกค้ามาเรื่อยๆ จากปากต่อปากและการได้คะแนนในระดับที่ดีจากทาง booking.com 1 ปีที่ได้บริหารกันมา ก็มีลูกค้ารู้จักเรามากขึ้นและอันดับใน TripAdivor เว็บไซต์ที่ลูกค้านิยมรีวิวที่พักและร้านอาหาร เราก็ติดอันดับ 1-5 ของรีสอร์ทขนาดเล็กภายใน 1 ปี เป็นเพราะเราใช้ใจในการทำงาน สละทั้งจิตวิญญาณและเวลาที่เรามีทั้งหมดให้กับธุรกิจของเรา หายใจเข้าออกคือ รีสอร์ทไม่ต้องไปไหนกันกเลย และที่สำคัญการให้บริการลูกค้าเหมือนเค้าเป็นแขกของคนในครอบครัวเรา ความมีน้ำใจให้ลูกค้า ความรักในงานบริการ เราไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ตัวเงิน แต่เราใช้ความจริงใจและซื่อสัตย์ในธุรกิจของเรา ตัวเงินจะมาหาเราเอง การได้คะแนนที่ดีจากทุกช่องทางทำให้เราเป็นที่นิยมของลูกค้าเร็วมากขึ้น และในตอนนั้นประมาณปี 2015 คู่แข่งทางธุรกิจก็มีไม่มาก และเราได้ทั้งภาษาอังกฤษและการบริการที่ลูกค้าให้ความเชื่อมันว่า นอนดี กินอิ่ม สะดวกสบาย มันก็เลยทำให้เราเป็นตัวเลือกแรกๆในระแวกที่เราทำรีสอร์ท 3 ปีที่ร่วมกันทำกับสามี อยากบอกว่าทะเลาะกันบ่อยมากๆ เราเป็นผู้หญิงก็จะมีอารมณ์อ่อนไหว ซึ่งสามีไม่เข้าใจ เค้าเป็นฝรั่งเป็นผู้ชายมากๆ ที่จิตใจค่อนข้างจะแข็งแกร่งเกินเบอร์ จะมาบอกว่าไม่ให้เอาอารมณ์ส่วนตัวมายุ่งกับธุรกิจ มันยากนะคะ ผัวเมียทำงานด้วยกัน ฝันไปเถอะค่ะ มันยากมาก กว่าจะผ่านวันนั้นมาได้ ก็ไม่รู้ว่าเราทำไมจิตใจแข็งแกร่งขนาดนี้ หรือสามีอดทนกับเราขั้นสุดเหมือนกัน 5555 แต่ขนาดว่าทะเลาะกันทุกวันนะ ยังจัดงานแต่งงานหลังจากทำธุรกิจร่วมกันได้ 1 ปี เริ่มทำรีสอร์ท ปี 2015 แต่งงานปี 2016 3 ปีที่ได้ทำที่ Paragaon Spa Resort ก็ทำให้เราได้เรียนรู้ในหลายๆ เรื่อง ทั้งการทำสัญญาต้องมีความชัดเจน การสื่อสารกับคู่สัญญา การมีมิตรที่ดีเพิ่มขึ้นหรือการมีคนที่เค้าไม่ชอบเราใส่ร้ายเราแต่มาในรูปแบบเพื่อน มันก็คือเรื่องที่ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง จนบางทีเราก็ได้แต่บอกตัวเองว่าเราจะอดทนและแก้ไขปัญหาด้วยสติปัญญา เดี๋ยววันที่เราสำเร็จมันจะมาเอง วิณัชชาพยายามทำให้ดีที่สุดไม่ได้จะพิสูจน์ตัวเองให้ใครยอมรับ แต่เราอยากพิสูจน์ว่าเราไม่ใช่คนที่ใครๆ จะสบประมาทได้ หรือคิดว่าเราเป็นเหมือนคำนินทาของคนอื่นที่เรารู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่เรื่องจริง วิณัชชาเป็นคนไม่มีเวลามานั่งอธิบายใครว่าเราเป็นคนแบบไหน แต่วิณัชชาจะทำทุกวันให้ดี พร้อมเรียนรู้ พร้อมปรับปรุงตัวให้เป็นคนที่จะเติบโตในชีวิตและธุรกิจ เดี๋ยวสักวันคนก็จะรู้เองว่าเราเป็นผู้หญิงเก่งหัวใจแกร่ง บางครั้งทุกคนอาจจะคิดว่า 10 ปีที่พิสูจน์ตัวเองมันนานนะ แต่จริงๆ มันไม่นานหรอกค่ะ ตอนนี้วิณัชชาจำไม่ได้แล้วว่าความรู้สึกเสียใจ ผิดหวัง หรือโกรธเป็นยังไง ตอนนี้มีแต่มีความสุข ความภูมิใจในตัวเอง ที่เราเป็นผู้หญิงจากต่างแดนเข้ามาสร้างงานสร้างรายได้ให้กับเกาะพะงันเช่นกัน ไม่ได้มาเพื่อกอบโกยแต่วิณัชชาก็ทำงานร่วมกับคนท้องถิ่น เราก็แบ่งรายได้ให้กันและกัน สนับสนุนการทำงานร่วมกัน เสียภาษีทุกปีไม่เคยหลีกเลี่ยง เราเป็นคนไทยก็ต้องทำหน้าที่ของพลเมืองที่ดีเช่นกัน คนเราต้องการเติบโตมากขึ้น พอเราได้มีประสบการณ์ชีวิตในการทำงานร่วมกันกับสามีมา 3 ปี เราก็รู้สึกว่า มันถึงเวลาที่เราจะเติบโตต่อไป เพราะห้องพัก 8 ห้องกับสปามันรายได้ไม่พอ เพราะค่าเช่าก็ค่อนข้างสูง และมีปัญหาที่เพื่อนบ้านสร้างโรงแรมและเสียงดังมาเป็นปี ทำให้เรามีปัญหากับลูกค้าเราเอง ทำให้รายได้เราลดลง เราต้องมองหาแผนอื่นๆ ที่จะทำให้เราอยู่รอดและเจริญเติบโตต่อไป เห็นไหมอะไรก็เกิดขึ้นได้ พอจะดีขึ้นก็มีเรื่องที่มาขัดขวางความสำเร็จของเรา ชีวิตมันจะมีขึ้นและมีลง ดังนั้นเราอย่าประมาทในการใช้ชีวิตหรือการทำธุรกิจก็เช่นกัน สามีเค้าก็นั่งคิดนอนคิดว่าเราจะไปตรงไหนกันต่อดี คนเราถ้ามุ่งมั่นมันก็ต้องเจอซิ สุดท้ายก็ได้มาเจอรีสอร์ทที่เค้าจะให้เช่าที่ใหม่และใหญ่กว่าเดิม แต่ด้วยดวงชะตาสามีหาเจอในอินเตอร์เน็ต เค้าลงรูปแต่ไม่ลงรายละเอียดว่าอยู่ที่ไหนและติดต่อใคร สามีก็เอามาให้เราดูเชื่อไหม ที่นี้วิณัชชาคุ้นๆ เพราะมันเป็นที่ๆ วิณัชชาเคยเข้าไปดูพระอาทิตย์ตกตอนมาเที่ยวพะงันคร้ังแรก ตอนนั้นยังคิดเลยว่าที่นี้สวยนะ แต่มันดูเงียบเหงา ดูเศร้าสร้อย เหมือนที่นี้กำลังรอใครสักคน และสุดท้ายคำตอบก็คือ เค้ารอเรากับสามีอยู่นั้นเอง Zama Resort ที่ๆ ทำให้วิกับสามีสานฝันร่วมกัน แต่ก็มีทั้งความสมหวังและความสูญเสีย เป็นสถานที่ที่สร้างวิณัชชาและสามีให้เติบโตไปพร้อมๆ กัน ที่นี้มีมนต์ขลังยังไงรอติดตามกันนะคะ ปล. Zama" ในภาษาสันสกฤตมีความหมายว่า "ความสงบ" หรือ "ความเงียบสงบของจิตใจ" นอกจากนี้ยังสามารถหมายถึง "ความผ่อนคลาย" หรือ "ความสงบ" บางครั้งก็มีความหมายว่า "ความสมดุล" หรือ "ความเท่าเทียม"
- อุปสรรคมีให้ก้าวข้าม จับมือกันไว้ให้แน่นๆ
การเริ่มทำธุรกิจของตัวเองไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ยิ่งถ้าเราไม่ได้เกิดมามีต้นแบบ สมาชิกในครอบครัวที่เค้าเป็นนักธุรกิจ หรือทำกิจการของตัวเอง แถมเราเติบโตมาในครอบครัวที่คนในครอบครัวหรือเครือญาติ เป็นลูกจ้างเสียส่วนมาก หรือมีกิจการค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเราก็ไม่เคยได้เรียนรู้หรือสัมผัสกับการบริหารคนจากคนที่มีประสบการณ์ด้านนี้จริงๆ จังๆ แต่เมื่อลงเรือลำเดียวกับสามีแล้ว ก็ต้องลองสู้กันสักตั้ง เมื่อได้มีโอกาสมาทำธุรกิจด้วยตัวเองพร้อมกับสามี ซึ่งช่วงปี 2015 ได้กระโดดมาเป็นเจ้าของเต็มตัวกันทั้งสองคน อยากจะบอกว่ามันไม่ง่ายและก็เหนื่อยมากๆ ในช่วง 1-3 ปีแรก เพราะว่าเราทั้งคู่ไม่ได้มีประสบการณ์ด้านการทำธุรกิจมาก่อน และที่ยากสุดก็คือ วัฒนธรรมและความคิดของเรากับสามี สถานะตอนนั้นเป็นแค่แฟนกันและพึ่งคบกันได้ประมาณ 2 ปี สามีเป็นคนสวิสเซอร์แลนด์ที่คนไทยก็จะชอบร้องว่า ดีจังเลยได้แฟนชาตินี้ แต่จะบอกว่า ลองคบดูนะ แล้วจะซึ้งใจ คนสวิสฯเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น ทำอะไรต้องดี เพอร์เฟค แต่ถ้าเรามาทำงานบนเกาะที่คนที่ทำงานให้เราเป็นคนไทย คนพม่า ความคิดและทัศนคติการทำงานมันคนละอย่างกัน มันแทบจะตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ เราคนไทยก็จะทำงานกันแบบสบายๆ อย่าจุกจิกเดี๋ยวไม่ทำให้เลยนะ แต่คนสวิสฯ ก็จะทำไมทำไม่ได้ตามที่คุยกันไว้ ไม่จริงจัง เพราะเค้าทำงานจริงจังกันไง มาเจอพี่ไทยเราสายชิลล์ ยิ่งคนมาทำงานบนเกาะนี้ ทำงานกันแบบนึกว่าพักร้อน ทำไมถึงชิลล์เวอร์ เราเป็นคนกลางก็ต้องทำยังไงก็ได้ให้ธุรกิจเราไปรอด ให้คนที่ทำงานให้เรายังมาทำงานให้เรา คือสามีเราก็ไม่ผิดนะ เค้าว่าจ้างให้มาทำงานหรือซ่อมแซมอะไรให้ ทำไมไม่ทำตามที่ตกลง รับปากว่าได้ สุดท้ายไม่ทำ คือถ้าลงมือทำไม่ว่า แต่ไม่ทำเลย อันนี้ก็น่าว่าถูกต้องไหม แต่กลายเป็นว่าในความแตกต่างของเรากับสามี มันกลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัว สามีเราเรียนจบด้านการบริหารจัดการโรงแรมมาจากประเทศเค้า ทำให้เค้ารู้ว่าต้องบริการลูกค้ายังไงให้ได้ระดับ 5 ดาว และเค้าเป็นคนต่างชาติ เค้าก็จะรู้ว่านักท่องเที่ยวต้องการอะไรจากการมาเที่ยวประเทศไทย โดยเฉพาะถ้ามาเที่ยวตามเกาะที่ห่างไกลความเจริญ ส่วนเราคนไทยก็มีน้ำจิตน้ำใจ ยิ้มแย้มแจ่มใส เอาใจลูกค้าเก่ง ที่สำคัญเราสื่อสารกับลูกค้าได้ค่อนข้างดี ทั้ง ฟัง พูด อ่าน เขียน ทำให้ลูกค้าไว้วางใจ ฝากผีฝากไข้กับเราได้ ทำให้ธุรกิจของเราไปได้ดีตั้งแต่ช่วงปีแรกๆ แต่ก็เหนื่อยตรงพนักงานที่เรายังหาคนที่เข้าใจทิศทางการทำงานของเรา และรูปแบบที่เราต้องการทำให้กับลูกค้า ก็ใช้เวลาเป็นสิบๆ ปี กว่าจะผ่านมาได้ แต่เราก็ต้องเข้าใจว่า เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว คนที่มาทำงานบนเกาะยังไม่ค่อยพัฒนาเท่าไหร่ เค้าก็ชินกับความสบายๆ มันก็ทำให้เราต้องอยู่ในโหมดเอาตัวรอดในทุกๆ วัน ก็ฝึกตัวเราให้เก่งกล้าสามารถ เอาตัวรอดให้ได้ในทุกสถานการณ์ ฝึกฝนตัวเองมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางมากขึ้น พนักงานที่อยู่กับเราก็ทำงานด้วยความตั้งใจ เพราะเค้าเรียนรู้ว่าถ้าไม่ทำงานให้ดี พี่วิก็เอาออกเค้าก็ต้องหางานใหม่ แต่ถ้าทำได้ดี วิณัชชาก็ส่งเสริมสอนงานให้เค้า ให้โอกาสเค้าได้เติบโต ตอนนี้ที่รีสอร์ทก็เหมือนโรงเรียนฝึกวิชาชีพไปแล้ว เวลาเค้าอยากจะเสนอแนะหรือเค้าอยากขอคำปรึกษาเราก็ช่วยเต็มที่ จนตอนนี้เราเหมือนจะเป็นทั้งแม่และพี่สาวให้กับเด็กๆ ที่ทำงานไปแล้ว จนลูกค้ามักจะออกปากชมว่า เด็กๆ ทำงานด้วยใจ มีความตั้งใจ พร้อมช่วยลูกค้าตลอด รักในการบริการ วิณัชชาคอยบอกเค้าเสมอว่า ถ้าเราจะทำงานไปวันๆ เพื่อรอวันเงินเดือนออก ไปทำที่ไหนก็ได้ เพราะก็ได้เงินเหมือนกัน แต่ถ้าจะอยู่กับเราต้องตั้งใจทำงาน มีความมุ่งมั่น มี Passion ในงานที่เราทำ รักในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ในทุกๆ วัน เค้าก็ซึมซับและเราก็ทำให้เค้าดูทุก ๆ ครั้งที่เราเข้าไปที่รีสอร์ท เราไม่เน้นพูด เราเน้นปฏิบัติให้เค้าดู ให้เค้ารู้ว่าเราสอนเค้าได้ เราก็ทำเองได้เหมือนกัน จนมาปีนี้ วิณัชชากับสามีก็ได้ไปใช้ชีวิตตัวเองบ้างได้แล้ว ไม่ต้องอยู่ที่รีสอร์ทตลอดเวลา เหมือนตอนที่พึ่งทำธุรกิจกันเองใหม่ๆ ตอนนั้น ตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า นอนเที่ยงคืนทุกวันไม่มีวันหยุด ติดต่อกันเป็นปีๆ แต่ตอนนี้เรามีเวลาไปเที่ยวมากขึ้น ไปกรุงเทพ ฯ บ้าง ไปพักค้างคืนที่สมุยบ้าง หรือบางทีวิณัชชาก็จะไปภูเก็ต ส่วนสามีก็ออกไปตกปลา 5-6 วัน บนเรือบ้าง เราเริ่มได้ใช้ชีวิต เริ่มได้ควบคุมชีวิตของเราเอง อยากจะกินอะไร อยากจะไปไหน อยากจะซื้ออะไร เราสามารถกำหนดเองได้ ที่ทำได้ณ วันนี้มันก็เกิดจากการทำงานอย่างหนักและตั้งใจ ทำงานบนความจริงใจ ซื่อสัตย์ต่อลูกค้า ต่อพนักงาน ต่อคู่ค้าที่เราว่าจ้างเค้า เค้าถึงบอกว่า ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน เปรียบเหมือนกับการปลูกต้นไม้ที่ออกผล เราหาดินดีๆ เราคอยรดน้ำ ใส่ปุ๋ย พรวนดิน ตัดแต่งกิ่ง คอยเช็คพวกศัตรูพืช หรือพวกแมลงต่างๆ ไม่ให้มารบกวนต้นไม้ขอเรา พอวันที่ออกดอกออกผล ก็ถึงเวลาที่เราจะได้เก็บเกี่ยว เอาผลผลิตมากิน แต่ก็ต้องกินใช้อย่างมีสติ เพราะวันข้างหน้าเราไม่รู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น เหมือนที่วิณัชชาเคยเจอกับเหตุการณ์ Covid-19 ชีวิตของวิณัชชาและสามีก็เหมือนนั่งรถไฟเหาะเลยค่ะ เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไร แต่ที่แน่ๆ มีเหตุการณ์ที่ทำให้สามีบอกเราเลยว่า ฉันอยากกลับบ้าน
- ชีวิตต้องสู้
คนเราถ้ามีโอกาสไม่คว้าไว้มันน่าเสียดาย วิณัชชาเป็นคนประเภทมองหาโอกาสให้ตัวเองเสมอ แต่ระหว่างที่รอโอกาสเข้ามาเราก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม ฝึกฝนเรียนรู้ในทุกเรื่องที่เราคิดว่าน่าจะเอาไปใช้ได้ในอนาคต อันดันแรก วิณัชชารู้ว่าตัวเองมีความถนัดและความชอบในด้านไหน โชคดีที่เป็นคนมีความสนใจและไปได้ดีกับเรื่องภาษาอังกฤษ ก็เลือกเรียนภาษาอังกฤษในตอนมหาวิทยาลัย พอเรียนจบก็พยายามหางานที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษในการทำงาน และที่สำคัญจะสร้างสิ่งแวดล้อมให้ตัวเองให้ภาษาอังกฤษอยู่กับเราเกือบตลอด 24 ชม. วิณัชชาไม่ได้ไปเรียนเมืองนอก เพราะไม่มีเงินไปเรียนและไม่ได้คิดที่จะต้องไปเรียน คิดแค่ว่าถ้าเราศึกษาตั้งใจมันก็ฝึกฝนได้ เพียงแต่เราก็ต้องหาโอกาสคุยกับคนต่างชาติให้มากขึ้น พอมาอยู่เกาะพะงันที่ลูกค้าเป็นต่างชาติเกือบ 99.99 % มันก็ทำให้เราได้เปรียบในเรื่องการทำธุรกิจเช่นกัน อันดับที่สอง วิณัชชาไม่กลัวทำงานหนัก และไม่เคยคิดเรื่องทำงานเกินหน้าที่ ถ้างานนั้นๆ ผู้บังคับบัญชามอบหมายและเรารู้ว่ามันไม่เกินความสามารถเราก็จะทำ เพราะยิ่งทำมากเราก็จะเยอะมากขึ้น ดังนั้นวิณัชชาจึงเลือกที่จะทำงานบริษัทเล็กๆ ที่เค้าจ่ายเงินเดือนเราได้ดี แต่หน้าที่อาจจะมีเยอะขึ้น เพราะไม่ได้มีหลายแผนกเหมือนบริษัทใหญ่ ๆ พอได้มาทำของตัวเองก็ทำได้หมด เพราะเราถูกฝึกให้มีความอดทน ไม่ย่อท้อในการทำงาน ลูกน้องไม่ทำเราทำ และเราจะกลัวทำไมถ้าเจอลูกน้องไม่ดี เราก็ทำเองและให้เค้าออกไปหางานใหม่ก็จบปัญหากันไป อันดับที่สาม วิณัชชาไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง ไม่เคยให้สิ่งแวดล้อมมากำหนดตัวตนของเรา ถ้ารู้สึกว่างานที่ทำหรือสภาพสิ่งแวดล้อม หรือเพื่อนร่วมงานไม่ใช่ที่เราอยากอยู่ หรือทำให้เราไม่มีความสุข วิณัชชาก็จะทำเรื่องขอลาออก เพราะเราไม่จำเป็นต้องทนอยู่ เราสามารถไปอยู่ที่อื่นได้ ไม่กลัวการเปลี่ยนงานใหม่ ทำให้เป็นคนปรับตัวได้ค่อนข้างเร็ว แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนงานบ่อยๆ ส่วนมากก็ทำงานเป็นปีถึงจะเปลี่ยน หรือเราลองทำงานนั้นแล้ว รู้สึกว่าไม่ใช่เราก็ออกดีกว่า ให้เค้ารับคนที่เหมาะสมกว่าเราจะดีกว่า ดังนั้นเวลามาอยู่พะงันเราก็ไม่กลัวสิ่งแวดล้อมใหม่ ปรับตัวให้เร็ว เรียนรู้ให้ไว ทำงานด้วยความรอบคอบ ไม่นานทุกคนๆ ก็ยอมรับในความสามารถของเรา ข้อที่ 4 เราต้องเป็นเหมือนรวงข้าวที่โน้มตัวลงต่ำได้ ถึงเราจะเริ่มรู้สึกประสบความสำเร็จ ถ้าเราสามารถทำงานได้กับทุกระดับชั้น เราเข้าได้กับทุกคนที่เราทำงานด้วย ก็จะทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น เราต้องรู้จักการสร้างทีม ทำงานเป็นทีม อย่าเป็นพวกเก่งอยู่คนเดียว เพราะคุณจะเหนื่อยอยู่คนเดียว แถมทีมก็ไม่มีความสามัคคี เผลอๆ อาจจะมีแต่เรื่องดราม่าทะเลาะเบาะแว้งกัน วิณัชชาเชื่อว่าเราไม่สามารถทำอะไรคนเดียวหมดได้ และการที่เราทำให้เพื่อนร่วมงานรู้ถึงความจริงใจที่เรามีให้กับทีม มันจะมีพลังสามัคคีที่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ให้กับบริษัทได้ และมันก็ส่งประโยชน์มาให้ทุกๆ คนในบริษัทด้วย ดังนั้นรีสอร์ทของวิณัชชากับสามี เด็กๆ จะรู้เลยว่าต้องทำงานเป็นทีมห้ามเกี่ยงงานกัน และเจ้านายพร้อมที่จะลงไปช่วยเพราะเราคือทีมเดียวกัน เรารับฟังทุกปัญหาที่เกิดขึ้นของเด็กๆ และเราจะอธิบายเหตุผลในทุกครั้งว่า ทำไมได้และทำไมไม่ได้ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจเหตุผลของเจ้านาย การที่พนักงานเข้าใจทิศทางของเจ้าของกิจการว่าต้องการแบบไหน และเค้าสามารถทำได้ การทำงานก็จะไหลลื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตามเจ้าของก็ต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน กับผู้ใต้บังคัญบัญชา ไม่ใช่จะใช้แต่พระเดชต้องมีพระคุณ และที่ทำสำคัญ เราเมตตาเค้าไม่ได้หมายถึงเราโง่ อ่อนแอ เรามีน้ำใจให้เค้ามันคือสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถ้าเค้าไม่เห็นน้ำใจของเราก็ไม่ต้องไปทวงบุญคุณ การทำงานร่วมกันไม่มีคำว่าบุญคุณ มีแต่ตอบแทนกันด้วยผลประโยชน์ เช่น ค่าจ้างที่เค้าต้องได้รับ และการทำงานให้ตรงกับตำแหน่งที่มอบหมายให้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ Win-Win Situation ข้อที่ 5 การเอาใจเค้ามาใส่ใจเรา ควรจะมองทั้งในมุมนายจ้างและลูกจ้าง ให้ตัวเองอยู่ในจุดถ้าเราอยากได้นายจ้างที่ดี และลูกจ้างที่ดีควรจะเป็นยังไง และเราก็ทำแบบนั้น ตอนที่วิณัชชาเป็นนายจ้างใหม่ๆ เราก็ต้องพยายามคิดให้รอบคอบ มองในมุมที่เราเคยเป็นลูกจ้าง อะไรที่เราอยากได้จากนายจ้าง แล้วเอามาประยุกต์ใช้ ดังนั้นเราก็ต้องมีทั้งพระเดชและพระคุณ มีความเมตตาแต่ก็มีความเด็ดเดี่ยวด้วยเช่นกัน และไม่เป็นคนหูเบาเชื่อคนง่ายจากคำพูด ให้มีสติคิดให้รอบคอบ ฟังและมองให้รอบด้าน ไม่ปากเร็ว และไม่ต้องนินทา ที่สำคัญเราจะไม่พูดให้ลูกน้องเกิดความเสียหน้า เสียใจ พูดความจริงในเรื่องงานเท่านั้น ลูกน้องทำผิดไม่ใช่ว่าเค้าเป็นคนไม่ดี เค้าทำงานผิดเราต้องสอบถามเค้าว่าเกิดจากอะไร ทำไมถึงผิดพลาด หาทางป้องกัน แต่ถ้ายังทำผิดพลาด เราก็ต้องเรียกคุยทันที บางทีก็ต้องตาต่อตาฟันต่อฟัน หมายถึง ทำให้เค้ารู้ว่าเราเห็นทุกการกระทำ เราต้องคุยให้ชัดเจน ถ้าเค้าทำงานไปวันๆ และมันไม่ใช่แนวทางที่เราชอบ ก็ต้องบอกให้เค้ารับรู้และให้โอกาส แต่ถ้าเกิน 3 ครั้ง เราก็ต้องให้เค้าไปอยู่ที่อื่น อย่าเก็บคนที่จะแพร่เชื้อไม่ดีไว้ในองค์กร แต่ให้บำรุงรักษาคนที่ทำงานเพื่อองค์กร ไม่ใช่ว่าเราเห็นแต่ประโยขน์ของตัวเอง ว่ามีลูกน้องดีเราก็สบาย แต่ถ้าองค์กรอยู่ไม่ได้พนักงานก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ต้องมีทักษะในการอธิบายให้ลูกน้องที่มีประสบการณ์ชีวิตน้อยกว่าเราให้เค้าเข้าใจ และจะทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุข นี้เป็นข้อคิดเล็กๆ น้อยๆ ที่วิณัชชาใช้กับตัวเองมาตลอด จนได้มีโอกาสทำธุรกิจร่วมกันกับสามีก็ผ่านพ้นไปได้ ถึงจะมีติดหล่มหรืออุปสรรค เราก็สามารถผ่านไปได้และทำมันได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี ติดขัดอะไรก็ยังผ่านไปได้ตลอด ในวันที่มีคนมาเสนอให้เช่าสถานที่ทำรีสอร์ทขนาดเล็ก ทางสามีก็กังวล ตอนนั้นเรายังเป็นแฟนกันและอยู่กันมาได้ 2 ปี เข้าปีที่ 3 ก็เลยบอกเค้าไปว่า ให้ลองทำเลย แต่เราก็ใช้เวลาคิดแบบละเอียดรอบคอบ ด้วยสติและคำนึงถึงความสามารถที่เรามีอยู่ ทำให้เรามีความมั่นใจว่า ถ้าเราใช้ความพยายามเหมือนที่เราเคยทำให้คนอื่น มันจะเจ๊งก็ให้มันรู้ไป เพราะก็ได้ชื่อว่าได้ทำแล้ว แต่มันอาจจะไม่ใช่ทางของเรา ถึงโอกาสจะมา เราคว้าไว้ ลงมือทำ ใช่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่เราคาดหวัง แต่เราจะไม่เสียใจ เพราะเราได้ลงมือทำอย่างเต็มที่ เราก็จะได้บทเรียนมาสอนเราให้ลงมือทำต่อในอนาคต เวลาที่มีโอกาสเข้ามาอีก แต่ถ้าคนเราทำอะไรด้วยสติ ใช้ปัญญา และไม่คดโกง วิณัชชาคิดว่าวันที่เราสามารถควบคุมอนาคตของตัวเองจะมาในไม่ช้า เมื่อโอกาสมาแล้วเราคว้าไว้ ไม่ปล่อยปะละเลยโอกาสนั้น ผลที่ได้มันมีแต่คุ้มกับคุ้ม บางคนใช้โอกาสพร่ำเพรื่อ นึกว่าโอกาสจะมาหาเราบ่อยๆ แต่เจ้าโอกาสนี้แหละจะตอบแทนเฉพาะคนที่เห็นคุณค่าของมัน ดังนั้นเปิดหูเปิดตามองหาโอกาส และฝึกฝนตัวเองให้พร้อมเมื่อโอกาสมาหาเรา
- เมื่อชีวิตเริ่มต้นตอน 30++
หลังจากหอบผ้าหอบความฝันและอนาคตที่วาดไว้มายังเกาะพะงัน เกาะที่ใครๆ ก็ต้องหลงเสน่ห์ เหมือนมีมนตราสะกดจิตสะกดใจเรา ถ้าจะนั่งชมพระอาทิตย์ตกดิน ขับรถชมวิวดูต้นมะพร้าวไปทุกๆ วันก็คงไม่ไหว คนเราก็ต้องกินต้องใช้ เราก็ต้องทำงานซิคะจะรออะไร มาตั้งหลักปักฐานที่เกาะพะงัน วิณัชชาก็เริ่มมองหางานเพื่อเลี้ยงตัวเองให้อยู่รอด จะไม่กลับแล้วบางกอกเมืองฟ้าอมร ตอนนั้นคิดว่าให้ทำงานอะไรก็ได้นะ ไม่เกี่ยง ขอให้เค้ารับเราทำงานก็พอ และงานที่หาได้ง่ายสุดก็คือ งานต้อนรับ เพราะเกาะพะงันเป็นเกาะแห่งการท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวกันทั้งปี เราก็เลยสมัคร แต่เราไม่เคยผ่านงานโรงแรมมาก่อน เจ้าของกิจการก็อาจจะสองจิตสองใจว่าจะรับเราเข้าทำงานดีไหม เราก็ทำได้แค่พูดความจริงไปว่า ให้รับเราทำงานสัก 1 เดือนถ้าเห็นว่าไม่ไหวก็ให้ออกก็ได้ แต่เราเชื่อว่าเราผ่านการทำงานมาอย่างโชกโชน มีประสบการณ์ในการทำงานกับคนต่างชาติ เราก็พอจะรู้สไตล์ว่าคนต่างชาติชอบความจริงจัง ถ้าตั้งใจเรียนรู้เราก็ต้องทำได้ แต่เงินเดือนที่ได้รับก็แทบจะน้ำตาไหล ได้ที่ 15,000 บาท ต่อเดือน ขอต่อรองว่าให้สัก 18,000 บาท ต่อเดือนเถอะ เพราะค่าเช่าบ้านก็จะเกินครึ่งหนึ่งของเงินเดือนแล้ว T-T จากเคยได้เงินเดือน 40,000 บาท มันก็มีความช็อก แต่เราเลือกแล้วจะถอยก็ไม่ได้ สู้โว้ย!! ทุกคนอาจสงสัยในเมื่อย้ายมาอยู่กับแฟนแล้วทำไมต้องห่วงเรื่องค่าเช่าบ้าน ค่าใช้จ่าย ถึงเราจะมีแฟนฝรั่ง มันก็ไม่ได้หมายความว่าเค้าต้องมาดูแลเรา วิณัชชายิ่งห่วงอนาคตเค้ามากกว่าว่าเค้าจะไปกับเรารอดไหม อายุก็พึ่ง 26-27 ปี แค่เค้าลองมาอยู่กับเรา แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอ และเราก็ไม่อยากให้เค้าใช้เงินเก็บที่เค้ามีด้วย ในเมื่อเราชวนเค้ามาอยู่เราก็จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในช่วงเดือนแรกๆ เอง แต่เราก็มีบอกกับเค้านะว่าให้ลองหางานทำ หรือลองดูว่ามีโอกาสอยากจะลองทำกิจการเล็กๆ อะไรไหม ก็ให้เวลาเค้าในการตัดสินใจ ส่วนเราก็มุ่งหน้าหาเงินเอาตัวรอดให้ได้ก่อน ถ้ามัวมานั่งห่วงกัน ก็คงไปไม่รอดแน่ๆ อีกอย่างเป็นพวกใจถึงพึ่งได้ ไม่มานั่งแบ่งว่านี้เป็นหน้าที่ผู้ชายหรือผู้หญิงในการหาเงินเข้าบ้าน ในเมื่อลงเรือลำเดียวกันก็ต้องช่วยกัน เมื่อได้งานทำแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเรามีดีจริงไหม ไม่ใช่แค่คิดว่าเราอาจจะเก่ง แต่เราก็ต้องเก่งจริงๆ ความยากไม่ใช่เรื่องภาษาอังกฤษ แต่ความยากคือ การต้องทำงานกับแรงงานต่างด้าวบนเกาะพะงัน พนักงานส่วนมากจะเป็นคนพม่า ซึ่งเราไม่เคยทำงานด้วยเลย ก็จะมีปัญหาเรื่องการสื่อสาร แต่เชื่อไหม ไปๆ มาๆ คนที่ทำงานยากที่สุด คือ คนไทย ด้วยกันเองนี้แหละ 555 วิณัชชาว่าการที่เราเป็นคนทำงานเก่ง ยังไม่เท่ากับการเป็นคนมีมารยาทที่สุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตัว มีเมตตาและมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ตรงนี้แหละที่จะทำให้เราทำงานง่ายขึ้น เพราะใช้สิ่งเหล่านี้ทำให้น้องๆ พม่า เชื่อฟังและทำตามที่เราบอก ถึงจะเจอคนดื้อขนาดไหน แต่เค้าเจอเราเค้าจะค่อนข้างเชื่อฟัง เพราะเราให้เกียรติเค้าพูดจากับเค้าเหมือนเค้าก็เป็นพนักงานคนหนึ่ง เป็นคนเหมือนกันกับเรา ดังนั้นเรื่องน้อง ๆ เด็กพม่าสบายมากค่ะ :) แต่กับคนไทยนี้ซิ Oh My God มันไม่ได้ยากในเรื่องการทำงานนะ แต่มันยากตรงการสื่อสารทั้งที่พูดภาษาเดียวกัน เค้าเรียกว่าอยากลองเชิงเราหละมั้ง เด็กใหม่จะเจ๋งแค่ไหนอะไรประมาณนั้น และด้วยภาพลักษณ์เราที่มีแฟนฝรั่งมั้งและก็เป็นคนต่างถิ่น เค้าก็คงจะคิดว่าเราเป็นพวกไม่จริงจังในเรื่องการทำงาน แต่ขอโทษนะคะ คนอย่างวิณัชชาทำงานคือทำงานค่ะ จะอยู่เกาะอยู่บนฝั่งอยู่บนดาวอังคาร ถ้าทำงานแลกเงินเดือนก็คือต้องทำงานอย่างเต็มที่ค่ะ ช่วงเดือนแรกๆ ก็วุ่นวายค่ะ ดราม่าไม่จบไม่สิ้น คือมันเป็นดราม่าแบบละครช่อง 7 มันไม่มีปมซับซ้อน มันโชว์ให้เห็นเลยว่าฉันไม่ชอบหน้าเธอ ฉันไม่อยากทำงานกับเธอ แต่หาคำตอบที่สมเหตุสมผลไม่มีหรอกค่ะว่าทำไมไม่ชอบเราทั้งที่พึ่งเคยเห็นกัน เค้าคงอยากจะดูว่าวิณัชชาจะทนได้ไหม โอ๊ย แล้วไงใครแคร์ คนอย่างเราจะมาสนใจแค่เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งไปทำไหม เดินทางมาก็ไกลจะมายอมให้คนแบบนี้นะหรอ ฝันไปเถอะ เราก็เอาการทำงานให้ถูกต้องสมบูรณ์ฟาดหน้ากลับไปซิ ทำงานโรงแรมมันดีอย่าง เราสามารถติดตามผลงานเราได้เลยว่า เราทำงานดี หรือ ห่วยแตก ก็เช็คจากลูกค้าซิคะ สมัย 10 กว่าปีที่แล้ว TripAdvisor เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมในการเขียนรีวิวของลูกค้า เชื่อไหมว่าช่วงที่วิณัชชาไปทำงานโรงแรมแห่งหนึ่งบนเกาะพะงัน จะบอกว่าทุกรีวิวต้องมีชื่อวิณัชชานะคะ ไม่ใช่ชมธรรมดานะ ชมขนาดที่ ทำให้ลูกค้าที่อ่านรีวิวบอกว่าที่มาพักโรงแรมนี้เพราะอยากมาเจอว่าเธอคือใคร ทำไมมีแต่คนชมชอบเธอ จะไม่ชอบได้ไงหละคะ ก็เรามันมีลูกบ้าเยอะ ฝรั่งนะคะ ถ้าเราพูดกับเค้าได้รู้เรื่อง สามารถแลกเปลี่ยนทัศนคติความคิดเห็น ไม่ใช่เอาแต่ขายทัวร์ คุยแต่เรื่องลมฟ้าอากาศ หรือเรื่องทั่วๆ ไป มันไม่พอที่จะมัดใจเค้าได้มากนัก ถ้าเราสามารถแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมความคิดกับเค้าได้ เค้าก็อยากจะคุยกับเรา ยิ่งเรามีใจรักบริการ แถมเป็นคนตลก มีลูกล่อลูกชน เล่นมุกขำบ้างไม่ขำบ้าง เค้าก็ประทับใจเรามากแล้วค่ะ และที่สำคัญเราจะดูแลลูกค้าทุกคน ไม่มีการแบ่งว่าผู้ชายหรือผู้หญิง แต่เราต้องมีมารยาทและกาละเทศะกับลูกค้า สุภาพแต่เข้าถึงได้ และไม่ทำตัวสนิมสนมกับลูกค้าจนเกินไป สิ่งที่ทำให้วิณัชชาประทับใจและขอบคุณลูกค้าจนถึงทุกวันนี้ เพราะลูกค้ามักจะถามว่าเราเป็นเจ้าของโรงแรมหรอ เรานี้แทบจะก้มลงกราบ บอกลูกค้าไปว่า ฉันไม่ได้รวยและไม่มีเงินขนาดนั้นหรอก ก็เป็นลูกจ้างทำงานให้เค้านี้แหละ ลูกค้าบอกว่าเธอมีหัวใจผู้ประกอบการเลยนะ เธอดูแลทุกคนเหมือนธุรกิจนี้เป็นของเธอเลย ลูกค้าบอกว่าเจ้านายเธอโชคดีนะที่มีลูกน้องแบบนี้ เราได้ยินก็ยิ้มปลื้มปริ่ม เพราะเราเป็นคนแบบนี้จริงๆ ทำงานให้ใครก็ไม่เคยคิดว่า ทำให้เค้ามากเราก็ไม่ได้รวยขึ้น เค้าก็ไม่ได้แบ่งกำไรให้เรา ไม่เคยมีในหัวสมอง มีแต่คิดว่ายิ่งเราทำงานมากๆ เราก็มีประสบการณ์มากขึ้น มีอาวุธติดตัวไปทุกที่ จะย้ายไปไหนก็ไม่ลำบาก แต่ก็นะ ชีวิตคนเรานะคะ ดวงจะได้มาเป็นผู้ประกอบการ ดวงจะได้มาเป็นเจ้าของ และเรารอมันมาตลอด เพียงแต่เรายังไม่รู้ว่าโอกาสนั้นมันจะมาเมื่อไหร่แต่เราก็เตรียมตัวเองให้พร้อมเสมอ เมื่อโอกาสมันมาถึงเราก็คว้าไว้ และแล้วประตูแห่งดวงชะตาก็เปิดขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจแต่ก็ยังมีเรื่องหัวใจเข้ามาด้วย มันช่างอิรุงตุงนัง แบบว่าวิณัชชาสวยมาก สวยตะโกนเวอร์ รอติดตามกันนะคะ
- เมื่อรู้ว่ารักตัวเองเป็นยังไง
คุยเรื่องชีวิตการทำงานมาหอมปากหอมคอ ก็ต้องมีเรื่องรักๆ กันบ้าง ตอนที่วิณัชชาย้ายมาอยู่เกาะพะงัน วิก็มากับชายหนุ่มตาน้ำขาวชาวโปแลนด์ หน้าตาดี หุ่นบอบบางสูงยาวอย่างกับนายแบบ แต่ปัญหาที่ทำให้ไปไม่รอด เอาจากใจเลย คือ เรื่องทัศนคติการมองโลกที่ตรงกันข้ามกันราวฟ้ากับเหว แฟนเก่าเราจะเป็นคนเก็บตัว มีอารมณ์ศิลปิน ชอบนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินทุกวัน ขอย้ำทุกวันจริงๆ นะ เค้าชอบเดินทาง ชอบการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ แต่คนเราจะเอาเงินที่ไหนมาเที่ยวได้ทุกเดือน เราเองก็ไม่ได้ชอบเดินทางท่องเที่ยว เพราะแค่จะมีเงินกินแต่ละเดือนยังไม่พอเลยจ้ะ เรื่องท่องเที่ยวเลยเป็นอะไรที่ไม่มีในหัว คิดแต่จะหาเงินอย่างเดียว ยิ่งพึ่งย้ายมาทำงานที่เกาะ เราก็ต้องเร่งสปีดกลัวเค้าไม่ให้ผ่านช่วงทดลองทำงาน ผู้หญิงเรานะ ถึงจะเป็นคนจิตใจเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวขนาดไหน เราก็อ่อนให้กับความรักกันทุกคน ตอนนั้นวิณัชชาก็คิดว่า เพราะเค้ายังอายุน้อย พึ่ง 26-27 เค้าคงยังอยากจะทำตามความฝันที่เค้ามี แต่สำหรับเราคือ 32 แล้วค่ะ จะมาไล่ตามความฝันไม่ได้ มันไม่ทำให้ท้องอิ่ม ทำงานนี้แหละของจริง และยิ่งตอนนั้นต้องทำงานอยู่คนเดียว เพราะแฟนเก่าเราเค้าก็ไม่ใช่คนไทยจะเดินไปสมัครงานดุ่มๆ ก็คงไม่ได้ เราก็บอกให้เค้าพักผ่อนถือว่ามาพักร้อนก่อนจะต้องทำงานจริงๆ จัง ๆ แต่ก็ไม่คิดว่าจะพักนาน 2 -3 เดือนก็ยังไม่มีวี่แววจะหางานทำ กรรมก็ตกมาเป็นของเรา ช่วงนั้นเราก็ทำงานอยู่คนเดียวที่ฝ่ายต้อนรับ เพราะเกิดเหตุสุดวิสัย คนที่ทำงานก่อนหน้าเรา เค้ามีปัญหากับนายจ้าง อาจจะเพราะไม่พอใจที่เราได้เงินเดือนมากกว่าเค้า หรืออะไรก็ตาม เค้าก็ออกไปซะดื้อๆ ตอนนั้นวิณัชชาพึ่งจะทำได้ 2 อาทิตย์เอง คราวนี้ก็ได้ฉายเดี่ยวจัดการทำงานทุกอย่างเอง ต้องทำงานล่วงเวลา ตั้งแต่ 8.00 โมงเช้า ถึง 22.00 น. ทุกวัน ทำให้ไม่มีเวลาอยู่กับแฟนเก่า แต่ที่ทำงานเค้าก็ยอมให้มานั่งเล่นได้นะ แต่เราก็ไม่ค่อยอยากให้มา เพราะเกรงใจที่ทำงาน และที่สำคัญเค้าก็จะบ่นๆ ว่าทำไมต้องทำขนาดนั้น พ่อคุณไม่เปิดตาเลยว่า มันต้องทำไงจะได้มีเงินเยอะๆ จากเงินเดือน 18,000 บาท มาเป็น 25,000 บาท อัพ มันก็ดีไง แต่เค้าอาจจะไม่เข้าใจ ความสนใจในการใช้ชีวิตไม่เหมือนกัน เราเองก็พยายามถามเค้าเรื่องการหางานทำ เค้าบอกว่าอยากเป็นดีเจ เราบอกงั้นก็ต้องไปตามปาร์ตี้ต่างๆ ไปดูว่าเค้าเล่นเพลงอะไร หาเพื่อนๆ ไว้ เราก็มีอุปกรณ์สำหรับเปิดเพลงพร้อม แค่ขอเวทีให้ได้ไปเล่น และอาจจะได้ข้าวกับน้ำฟรีเป็นค่าตอบแทน คุณชายก็ไม่เอาค่ะ บอกว่าไม่ชอบคนที่นั้น ดื่มแต่เหล้า สูบบุหรี่ แค่ฟังก็ปวดหัว คือคุณคะ ดีเจนะคะ ไม่ใช่พระ จะให้เค้ามานั่งวิปัสสนา ดื่มน้ำปานะกันหรอ ฮัลโหล?? มันเป็นเรื่องทัศนคติความคิดในการชีวิตอย่างเดียวเลย เค้ามองโลกแบบไม่ค่อยเป็นจริง ออกแนวพวกปรัชญา นักคิด คือคิดไปเถอะ ฝันไปเถอะ แต่ไม่ทำ ส่วนเรามันพวกโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ทำให้เกิดแล้วมันจะเกิดหรอ ก็รู้ตัวอยู่นะว่ายังไงก็ต้องแยกย้าย แต่การที่เราเป็นเหมือนร้านสะดวกซื้อให้เค้ามาตลอดที่ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่พะงัน มันไม่ง่ายที่จะเลิกสำหรับเค้า แต่สำหรับเราอยากจะเลิกอยู่แล้ว ถึงจะยังรักยังชอบ แต่มันเริ่มเบื่อหน่ายรำคาญ เริ่มมองไม่เห็นสิ่งดีๆ ที่เค้าเคยมี แต่วิณัชชาเป็นพวกถ้าทำเต็มที่แล้ว จริงใจกับความรักขั้นสุดแล้วไม่เห็นอนาคตก็เลิกไปเถอะ เพราะสุดท้ายยังไงก็ต้องเลิก จะปล่อยไปทำไมให้เรื้อรัง เจ็บแต่จบ แต่สำหรับผู้ชายการที่อยู่แบบสบาย ๆ หิวเมื่อไหร่ก็แวะมาหาเราเหมือน 7/11 แต่ไม่ต้องจ่ายสักบาท การที่จะเลิกกับเราก็เป็นเรื่องคอขาดบาดตายได้นะ เค้าก็เลยคิดว่าเพราะเรามีคนอื่น เราถึงอยากเลิก โอ๊ยตอนนั้นเราคิดนะไม่ได้ดูสภาพตัวเองเลยนะพ่อทูลหัว เราก็ยืนยันไปว่าไม่ได้มีใคร แต่เราคิดว่าเราทั้งคู่คงไปกันไม่รอดแน่นอน อธิบายก็แล้ว อ้อนวอนก็แล้วก็ไม่ยอมเลิก ดื้อด้านขั้นสุด แต่ต้องเข้าใจนะ คนเรามันจะไม่ยอมเลิกง่ายๆ ยังตามวอแว เพราะคนพวกนี้มักคิดว่า ถ้าเราไม่มีใคร เค้าก็ยังมีโอกาสทำให้เรากลับมารักเค้าใหม่ได้ แต่ขอโทษ ฉันรู้สันดานเธอจ้ะ ทำไมฉันต้องเอาชีวิตของฉันมาเสี่ยงกับเธอด้วย เราก็หอบผ้าหอบผ่อนย้ายออกมาเลยจ้ะ ให้เค้าอยู่บ้านที่เราเช่าไว้ เราให้อยู่ฟรีไปเลย เพราะเราจ่ายล่วงหน้าไปหลายเดือนด้วยเงินของเรานี้แหละ อยากอยู่ก็อยู่ไปเราไปหาที่อยู่ใหม่ก็ได้ เชอะ แถมฮีก็อยู่นะจ้ะ ที่สุดหละพ่อ ในตอนนั้นตัวณัชชามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าเราอยู่รอดได้ด้วยตัวเองแล้วโว้ย รักในตัวตนของตัวเอง รู้สึกว่าเราไม่ต้องทำดีเพื่อใคร อยากทำดีเพื่อตัวเราเองล้วนๆ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าเราไม่ได้โอนอ่อนไปตามความรัก แต่ก่อนต้องพยายามทำตัวให้ดี เพื่อให้ผู้ชายที่เราคบเค้าพึงพอใจ ทั้งที่เราลืมไปว่า เราเป็นคนมีความรู้ความสามารถ มีคุณสมบัติของการเป็นผู้หญิงที่ดีมีคุณภาพคับแก้ว ไม่ต้องให้ผู้ชายมาเลี้ยงดูเรา เราก็เลี้ยงดูตัวเองได้ เกาะพะงันมันก็เล็กเนอะ มันก็มีโอกาสเห็นๆ กัน ทั้งที่เราบอกไปว่าเราเลิกแล้วนะ ฮีก็ยังวุ่นวายยังกับวิญญาณ ตอนนั้นคือเริ่มรำคาญขั้นสุด ประกอบกับมีหนุ่มคนหนึ่งเดินงงๆ เข้ามาในวังวนนี้พอดี เราก็ขอยืมมือหนุ่มคนใหม่ใช้ในการกำจัดอีกคนออกไปจากชีวิต (แต่ผู้ชายใหม่คนนี้ก็ไม่ได้รู้อะไรเลย นึกว่าเราชอบเค้ามากๆ) เรื่องความรักมันต้องมีเรื่องคนที่สามนะ มันถึงจะจบ เชื่อไหมอีแฟนเก่าเรานะว่าเราหาว่าที่อยากเลิกเพราะคนใหม่ หาว่าเราคบซ้อน เรานี้ไม่เถียงนะ ไปเถอะพ่อ จะดีจะชั่วก็เลิกไปเถอะ ฮีรับบทเป็นเหยื่อ ส่วนเราก็ผู้ก่ออาชญากรรมทางความรัก อธิบายไปก็ไม่เกิดผลอะไร เพราะเคยบอกตั้งแต่ยังไม่มีเรื่องผู้ชายคนอื่น ยังไม่ยอมเข้าใจ ให้เข้าใจแบบนี้ก็ได้ แล้วไงใครแคร์ ออกไปจากชีวิตฉันซะ แต่เชื่อไหมแฟนเก่าเราคนนี้ออกไปจากชีวิตเราแบบเด็ดขาด ด้วยวิธีอะไร เงินจ้ะ วิณัชชาเอาเงินฟาดหัวเลยจ้ะ 5555 วันนั้นเป็นช่วงสิ้นเดือน เราก็บอกเค้าไปนะว่าบ้านที่เช่าอยู่ เราบอกคืนเค้าไปแล้ว ถ้าจะอยู่ต่อก็เช่าไปเลย จ่ายเงินเองด้วย ถ้าไม่อยู่ก็เก็บของไปนะ เพราะเคยแจ้งไปหลายครั้งแล้ว ไม่ได้นำพา ฮีก็มาหาถึงที่ทำงาน เพื่อจะมาคุย เราก็เหนื่อยๆ นะ ไม่เข้าใจอีกหรอว่า มึงไม่ยอมทำมาหากินไง ใครจะทนไหวคะ (พูดในใจ 555) เราเลยบอกว่า ให้ 30,000 นะ (พึ่งได้รับเงินเดือนมาสด ๆ ร้อนๆ แหมเลือกเจอเราถูกวันด้วยนะ) วิณัชชาบอกว่าเงินนี้ถือว่าเป็นค่าตั๋วเครื่องบินเดินทางไปกลับจากที่ๆ เธอมา แต่เราว่าน่าจะถูกกว่านั้นด้วยซ้ำ เพราะเธอเน้นบิน Low cost แต่เอาไปเถอะ ถือว่าเป็นค่าเสียเวลา ที่ได้มาพักอยู่บนเกาะสวยๆ กินฟรี นอนฟรี แถมมีผู้หญิงให้นอนกอดฟรีๆ หลายเดือน แต่ถ้ายังไม่หยุดถาม ฉันจะเอาเงินคืน เพื่อนๆ ก็คงจะรู้นะว่าเค้าเลือกอะไร เงินซิจ้ะ 555 และเราก็บอกเค้าไปว่า ถ้าจะเล่าเรื่องว่าฉันเลวยังไงก็เรื่องของเธอ แต่ไปบอกคนที่เธอเม้าท์นะว่า ฉันผู้หญิงไทยก็ไม่เคยขอเธอกินแถมให้เงินเธอกลับบ้านอีกต่างหาก ถ้าเธอกล้าพูดความจริงข้อนี้นะ เราก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ผู้หญิงเราจะตกลงเป็นแฟนกับใครเราก็อยากจะอยู่กันไปจนตลอดรอดฝั่ง แต่ถ้ามันไม่ได้ ต้องทรมานจิตใจตัวเอง เราก็ต้องเลือกมารักตัวเรา แต่ก่อนวิณัชขาก็เหมือนผู้หญิงทั่วไปนี้แหละ คิดว่าตัวเองยังดีไม่พอสำหรับผู้ชายที่เราคบ เลยพยายามทำให้ดีที่สุด จนสูญเสียตัวตนของเราไป จนเราได้มาเรียนรู้ว่า ตัวเรานั้นดีสุดแล้ว แต่แค่เค้าไม่เหมาะสมกับเราเลยสักนิด เราก็ต้องสะบัดความรักแบบนี้ไป และมารักตัวเองให้มากๆ ออร่าแห่งผู้หญิงที่รักตัวเองมันจะฉายแสงออกมา ทำไมถึงกล้าพูด ก็เพราะผู้ชายคนที่เรายืมมือมาจนเกมส์รัก คนนี้แหละที่เค้าทำให้เรารู้ว่า เราเป็นตัวเรานั้นดีที่สุดแล้ว และผู้ชายคนนั้น ก็คือสามีของณัชชาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่เป็นเพื่อนร่วมงาน จนถึงปัจจุบันเป็นทั้งเพื่อนคู่คิด หุ้นส่วนทางธุรกิจและหุ้นส่วนชีวิต แต่กว่าจะเดินมาถึงจุดนี้ ก็จะฆ่ากันตายมาหลายหน ชีวิตรักและธุรกิจที่ทำกับสามีก็ไม่ได้ปูด้วยกลีบกุหลาบหรอกนะคะ มีหลายเหลี่ยมหลายมุมจนต้องมาเล่าให้ฟังอีกในโพสต่อไปค่ะ Format each of your headings below to Heading 2 to keep your post neat and SEO-friendly. It might help to break up your introduction into 2 or 3 main points, so it’s easy for your readers to follow. Each paragraph or two should focus on one point. Check Your Post Settings Explore the sidebar on the left. You can add media to add color to your post. You can also change the cover image, optimize the SEO Settings, add categories or tags, and much more. Spend some time discovering each tab and learn how you can enhance your future posts. Add a Closing Message End by restating your main message. You can sign off with a funny note or an open question. Use this space to tell readers what they should do next. Invite readers to leave a comment, or add a button with your main call-to-action, e.g., Buy Now or Subscribe .
- เคล็ดลับง่ายๆ สำหรับใช้ชีวิตในแต่ละวันของ วิณัชชา
ทำได้ไม่ยากเกิน ทำงานด้วยความเต็มใจ ใส่ใจงานที่ทำ รักที่จะสร้างผลงานให้ตัวเอง ออกกำลังกายให้เป็นนิสัย ให้ร่างกายได้ขยับ เพื่อสุขภาพกายที่แข็งแรง ทานอาหารที่ดีกับร่างกาย ลดเค็ม งดหวาน ลดความเสี่ยงโรคต่างๆ ดื่มน้ำต่อวันมากขึ้น เพราะน้ำเป็นส่วนประกอบหลักของร่างกาย ประมาณ 60-70 % ดื่ม 2-3 ลิตร ต่อวัน เช้าถึงก่อนนอน นอนให้เพียงพอ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน เข้านอนไม่เกิน 22.00 น. -23.00 น. ตื่น 6.30 น. -7.30 น. อย่าจับโทรศัพท์ก่อนเข้านอน อ่านหนังสือ, ยืดเหยียดร่างกาย หรือนั่งสมาธิสัก 10-15 นาที กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย จิตใจและสมองที่ใช้มาทั้งวัน จะผ่อนคลายมากขึ้น พร้อมนอน และควรใช้หมอนและที่นอนคุณภาพดี เพื่อให้การนอนหลับมีประสิทธิภาพมากขึ้น รู้เท่าทันอารมณ์ตัวเอง มีสติในการใช้ชีวิต อย่าประมาท รักตัวเองให้ถูกวิธี อย่าตามใจตัวเองในเรื่องผิดๆ ที่สุดท้ายก็มาทำร้ายตัวเราเองในอนาคต
- ไปอยู่ในที่ๆ ใช่ เราจะทรงพลัง
เกิดมาก็ไม่เคยคิดเคยฝันหรอกว่าจะได้มาใช้ชีวิตเป็นสาวชาวเกาะพะงัน แต่ตอนเด็กๆ มีความฝันที่สร้างไว้ในหัวไว้ว่า อยากไปอยู่เกาะที่มีน้ำทะเลล้อมรอบ เห็นท้องฟ้าสดใส เห็นต้นมะพร้าว และก็อากาศร้อนๆ เพราะเป็นคนไม่ชอบอากาศเย็น คิดไว้ให้เป็นภาพในหัวเหมือนที่เค้าเรียกว่าทำ Vision Board แต่ไม่ได้สร้างภาพให้เห็นแบบจริงๆ จัง ๆ แต่อยู่ในหัวจิตหัวใจตลอด จนได้มีโอกาสมาเที่ยวเกาะเต่า และเกาะพะงัน ก็หมายมั่นปั้นมือไว้เลยว่าจะต้องย้ายมาอยู่เกาะพะงันนี้ให้ได้ เพราะมันโดนใจอย่างแรง แต่การที่จะย้ายมาอยู่เกาะพะงันมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ตอนนั้นอายุ 31 ปี ทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ -ปริมณฑลมาตลอด และเป็นลูกสาวคนโตของที่บ้าน ถ้าทำงานดีๆ ก็ได้เงินเดือนไม่น้อยกว่าหลัก 30K-40K เพราะเราทำงานติดต่อลูกค้าต่างประเทศ และถ้ายิ่งทำตามโรงงานก็มีแต้มต่อมากกว่าคนอื่นๆ เพราะได้ภาษาอังกฤษมันเป็นใบเบิกทางสร้างโอกาสให้เราจริงๆ คนเราถึงจะชอบทำงานขนาดไหน แต่สภาพแวดล้อมที่เราอยู่มันไม่ใช่แนว ถึงจะได้เงินเดือนดีแค่ไหนก็ไม่มีความสุข ชีวิตวิณัชชาตอนนั้นก็สุด ๆ ชอบเที่ยวกลางคืน เงินเดือนก็เดือนชนเดือนเลยจ้ะ และที่เบื่อสุด ๆ ก็คือปัญหารถติด มันเป็นการใช้เวลาได้สิ้นเปลืองมากๆ ในความรู้สึกเรา และยิ่งเราเป็นคนทำงานแถวสมุทรปราการ แต่ชอบเที่ยวแถวสีลม สุขุมวิท ข้าวสาร เงินไม่เคยเหลือ เพราะเงินหมดไปกับค่าแท็กซี่ รู้สึกว่าชีวิตตอนนั้นก็คล้ายๆ จะเป็น Lost Girl in the City ยิ่งลักษณะนิสัยความคิดความอ่านของวิณัชชาสมัย 20 กว่าปีที่แล้ว คือมั่นใจมาก I don't care แบบ I don't care จริงๆ นะ ไม่ได้พูดให้ดูเก๋ หรือดูเท่ห์อะไร ไม่สนใจใครจ้ะ ทำงานก็สนใจแต่คนที่ให้เงินเดือน เพื่อนร่วมงานหรอถ้าไม่ให้ความร่วมมือในการทำงานหรอ ก็อย่าหวังว่าฉันจะเป็นเพื่อนหลังเลิกงานนะคะ บ๊าย ผู้ชายหรอ เปลี่ยนง่ายยังกับใช้กระดาษทิชชู่ มันเลยทำให้คนมองเราเป็นผู้หญิงปาร์ตี้ ไร้สาระใช้ชีวิตไปวันๆ ยิ่งเงินเดือนไม่พอใช้อีก อายุ 31 แล้วยังไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง รถสักคันไหม บ้านหละ แฟนเอาไหม หรือจะแต่งงาน ไม่มีอะไรแบบนี้เลยค่ะ แต่ใครจะแคร์ เพราะวิณัชชารู้ค่ะว่าตัวเองต้องการอะไร แค่ขอให้ได้ไปอยู่ในที่ๆ เราอยากอยู่จริงๆ เรามีวิชาความรู้ติดตัว ไม่มีใครขโมยไปได้ เรามันเด็กบ้านนอก อึดถึกทน เพราะตอนเด็กๆ ก็ต้องรับผิดชอบงานบ้านด้วยตัวเองตั้งแต่เล็กๆ เราก็เลยสามารถดูแลตัวเองได้ เท้าติดดินตลอดค่ะ ตอนนั้น วิณัชชาคิดอย่างเดียวว่า ในเมื่อเจอเกาะพะงันที่เรามีความรู้สึกว่ามันต้องใช่ที่ของเราซิ แต่สุดท้าย มันก็ต้องลองพิสูจน์ เพราะการมาเที่ยวพักร้อนมันไม่เหมือนกับการย้ายมาอยู่เลย ตอนนั้นคิดว่าเราต้องลองดู แต่กว่าจะได้ย้ายมาก็ใช้เวลา 1 ปีที่ต้องลาออกจากงาน หางานพาร์ทไทม์ทำ เช่น งานเสริฟ์ งานรับออเดอร์อาหาร ที่เลือกทำแบบนั้น เพราะอยากมีประสบการณ์ อยากรู้ว่าตัวเองจากคนทำงานออฟฟิศ แต่งหน้าทาปาก ใส่รองเท้าส้นสูง มาทำงานที่เราต้องมาคอยบริการคนอื่นๆ เราจะทำได้ไหม และเราก็ทำได้ ก็เลยสร้างความมั่นใจให้ตัวเองขึ้นมานิดนึง แต่การมาที่เกาะไม่ได้ง่ายเลยนะ เพราะเราเป็นลูกสาวคนโตที่พ่อเป็นห่วงมาก เราก็เลยต้องใช้วิธี หนูอยากมาสร้างครอบครัวค่ะพ่อ ก็เลยต้องหาผู้ชายสักคนมาเป็นสะพานให้เราข้ามมาได้ วิณัชชาคบกับคนโปแลนด์ระหว่างที่กำลังจะมาอยู่เกาะ เพราะเค้านี้แหละที่พาเรามาเที่ยวเกาะเต่า เกาะพะงันแต่เราก็รู้แหละว่าคงไปไม่รอด เพราะอายุก็อ่อนกว่าวิณัชชา 6 ปี ความคิดทัศนคติตรงกันข้ามกันหมด ทะเลาะกันบ่อย จนเรารู้อยู่แล้วว่ามาอยู่เกาะยังไงก็ต้องเลิก แค่ขอให้เธอพาฉันออกจากเกราะป้องกันของพ่อฉันเถอะ เดี๋ยวฉันก็จะแสดงความสามารถที่ตัวเองมี เพราะฉันรู้ว่าฉันเอาตัวรอดได้ แล้ววิก็ย้ายมาอยู่เกาะ เดือนพฤษภาคม 2013 มันคือการเริ่มต้นชีวิตที่แท้จริงของวิณัชชาจริงๆ แต่ก็บอกตัวเองไว้แล้ว ถึงจะมั่นใจขนาดไหน จะให้เวลาตัวเองแค่ 1 ปี ทำให้ดีที่สุดเหมือนที่เราทำมาตลอด แต่ถ้าไปไม่รอดก็จะกลับกรุงเทพฯ เพราะถ้ากลับไปหางานทำก็ยังได้ เพราะอายุยังไม่เกิน 35 ปี คนเราสิ่งที่คิด กับสิ่งที่ได้อาจจะไม่ตรงกัน ดังนั้นเราก็ต้องมีการคิดไว้บ้าง ถ้ามันไม่ได้ดั่งที่ใจเราหวัง เราก็ยังมีอีกแผนรองรับชีวิตเราไว้ คนเรานะคะ ถ้าเรารู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ไม่หลอกตัวเอง ชีวิตมันจะง่ายขึ้น วิณัชชา รู้ว่า เกาะพะงันนี้แหละคือบ้าน คือที่ๆ จะทำให้วิณัชชา ได้ทุกสิ่งที่ใจต้องการ ขอแค่ทำด้วยความตั้งใจ จริงใจ อ่อนน้อมถ่อมตน ซื่อสัตย์ ถึงเราจะเป็นคนแปลกหน้าต่างถิ่น แต่เชื่อเถอะ วันที่เราสำเร็จมันมีจริงๆ แต่กว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างที่ใจปรารถนา ก็ผ่านเรื่องราวมากมาย รอติดตามกันต่อไปนะคะ
- มาทำความรู้จักกันหน่อย :)
WiNutcha-On-The-Go สวัสดีทุกท่านและขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาอ่าน blog ส่วนตัวที่ไม่ส่วนตัวของ วิณัชชา กันนะคะ เรามาทำความรู้จักกันก่อนว่า วิณัชชาคนนี้คือใคร เราจะได้รู้จักกันมากขึ้น มาสร้างความคุ้นเคยกันหน่อย ทำความรู้จักกันทีละนิด เราจะได้รู้สึกไม่เขินอายกัน และจะยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นถ้าเราอยากจะรู้จักกันไปนานๆ วิณัชชา เกิดที่อำเภอ ชุมแสง จังหวัด นครสวรรค์ เป็นเด็กต่างจังหวัดที่มีเชื้อสายไทยผสมจีนแบบเสี้ยวเล็กๆ โดยเติบโตมาจากการเลีี้ยงดูของก๋งและย่าตั้งแต่ตัวแดงๆ จนโตเป็นสาววัยรุ่น พ่อและแม่ต้องเข้าไปทำงานในกรุงเทพฯ เพื่อส่งเงินมาให้ลูกๆ ได้ใช้กินอยู่และเรียนหนังสือ นี้เป็นชีวิตของคนไทยฐานะยากจนที่พ่อแม่มีหน้าที่หาเงินมาจุนเจือครอบครัวและให้ลูกๆ เติบโตมากับการเลี้ยงดูของปู่ย่าตายาย พออายุได้ 15 ปี พ่อและแม่เริ่มมีฐานะการเงินที่ดีขึ้น ก็เลยอยากให้ลูกสาวมีชีวิตการเรียนและอนาคตที่ดีขึ้นกว่าการอยู่ต่างจังหวัด และตัวเราเองก็อยากจะอยู่ใกล้พ่อใกล้แม่มากขึ้น ถึงจะมาอยู่ตอนที่เราโตเป็นวัยรุ่นแล้วก็ตาม ความรู้สึกว่าอยู่ใกล้พ่อแม่ก็เป็นสิ่งที่ดีกว่า การมาเรียนที่กรุงเทพฯ จริงๆ ก็เหมือนการได้เปิดหูเปิดตามากกว่า แต่ถ้าเทียบกับเรื่องเรียนทางวิชาการ คิดว่าเด็กต่างจังหวัดเค้ามีความมุ่งมั่นมากกว่าเรา ตัววิณัชชาไม่ค่อยจะมีความพยายามที่จะสอบเอ็นทรานซ์ให้ติดมหาวิทยาลัยเท่าไหร่นัก เพราะใจคิดว่ายังไงก็สู้คนอื่นไม่ได้หรอก ตอนเรียนมัธยมปลายเรียนสายวิทย์-คณิต ไม่เคยชอบเลยนะ แต่เรียนตามที่แม่อยากให้เรียน เพราะสมัยนั้น เรียนวิทย์ - คณิต มีทางเลือกในมหาวิทยาลัยมากกว่า แต่เราอยากจะเรียนภาษาอังกฤษใจจะขาด รู้ว่ายังไงก็คงไปไม่รอดกับสายวิทย์ ก็เลยมุ่งมั่นว่าถ้าจบ ม. 6 จะไปเรียนสาขาที่เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ ด้วยความตั้งใจจริงก็เลยได้โควต้า ภาษาอังกฤษธุรกิจ ที่ ราชภัฏสวนดุสิต ตอนปีการศึกษา 2542 เรียนจบมาก็พยายามหางานที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษในการทำงาน เพราะคิดว่าภาษาอังกฤษสำคัญและทำให้เราได้เงินเดือนสูงขึ้น และมันก็จริง มันเป็นแต้มต่อให้ตัวเรา สิ่งที่เราภูมิใจในตัวเองก็คือ การที่เราสื่อสารภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างดีแต่อาจจะไม่ใช่ระดับเชี่ยวชาญโดยการฝึกและเรียนรู้ในประเทศไทย ไม่เคยไปเรียนเสริมที่เมืองนอก เกิดจากความตั้งใจมุ่งมั่นของตัวเอง และเป็นคนไม่กลัวที่จะพูดกับคนต่างชาติ ถึงจะพูดผิดพูดถูกขอให้ได้พูดเถอะ ไม่มีอายจ้ะ ทำงานในกรุงเทพฯ ถึงอายุ 32 ก็รู้สึกว่ากรุงเทพฯ ไม่ใช่ที่สำหรับเราแน่นอน ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างทำให้เรารู้ว่า อยู่ไปก็คงไม่เจริญเติบโต แต่อาจจะมีหนี้ท่วมหัวแทน ก็เลยคิดว่าควรจะเอาตัวเองออกจากกรุงเทพฯ แต่เราจะไปไหนดีหละ บุญพาวาสนาส่ง ได้มาอยู่เกาะพะงัน จังหวัด สุราษฏร์ธานี ชีวิตของวิณัชชาก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย อยากรู้ว่าชีวิตที่ไม่เหมือนเดิมเป็นยังไง รอติดตามตอนต่อไปนะคะ รับรองแซ่บแน่นอน
- Your Title: What’s Your Blog WiNutcha Onthego?
Sample Titles: Welcome to My Blog! or Welcome to My World or Welcome to (Blog Name) To boost the post’s SEO, include a keyword in the title. Now that you’ve said hello to the world, it’s time to introduce yourself. Your first blog post is a chance to tell readers who you are with a short bio, as well as share what your blog is about and why you are blogging. You can include something personal or funny, or add a photo of yourself or your business. Give your readers an idea of what to expect in upcoming blog posts. Format each of your headings below to Heading 2 to keep your post neat and SEO-friendly. It might help to break up your introduction into 2 or 3 main points, so it’s easy for your readers to follow. Each paragraph or two should focus on one point. Check Your Post Settings Explore the sidebar on the left. You can add media to add color to your post. You can also change the cover image, optimize the SEO Settings, add categories or tags, and much more. Spend some time discovering each tab and learn how you can enhance your future posts. Add a Closing Message End by restating your main message. You can sign off with a funny note or an open question. Use this space to tell readers what they should do next. Invite readers to leave a comment, or add a button with your main call-to-action, e.g., Buy Now or Subscribe .