ชีวิตต้องสู้
- WiNutcha
- Feb 13
- 1 min read
Updated: Jul 2
คนเราถ้ามีโอกาสไม่คว้าไว้มันน่าเสียดาย วิณัชชาเป็นคนประเภทมองหาโอกาสให้ตัวเองเสมอ แต่ระหว่างที่รอโอกาสเข้ามาเราก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม ฝึกฝนเรียนรู้ในทุกเรื่องที่เราคิดว่าน่าจะเอาไปใช้ได้ในอนาคต
อันดันแรก วิณัชชารู้ว่าตัวเองมีความถนัดและความชอบในด้านไหน โชคดีที่เป็นคนมีความสนใจและไปได้ดีกับเรื่องภาษาอังกฤษ ก็เลือกเรียนภาษาอังกฤษในตอนมหาวิทยาลัย พอเรียนจบก็พยายามหางานที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษในการทำงาน และที่สำคัญจะสร้างสิ่งแวดล้อมให้ตัวเองให้ภาษาอังกฤษอยู่กับเราเกือบตลอด 24 ชม. วิณัชชาไม่ได้ไปเรียนเมืองนอก เพราะไม่มีเงินไปเรียนและไม่ได้คิดที่จะต้องไปเรียน คิดแค่ว่าถ้าเราศึกษาตั้งใจมันก็ฝึกฝนได้ เพียงแต่เราก็ต้องหาโอกาสคุยกับคนต่างชาติให้มากขึ้น พอมาอยู่เกาะพะงันที่ลูกค้าเป็นต่างชาติเกือบ 99.99 % มันก็ทำให้เราได้เปรียบในเรื่องการทำธุรกิจเช่นกัน
อันดับที่สอง วิณัชชาไม่กลัวทำงานหนัก และไม่เคยคิดเรื่องทำงานเกินหน้าที่ ถ้างานนั้นๆ ผู้บังคับบัญชามอบหมายและเรารู้ว่ามันไม่เกินความสามารถเราก็จะทำ เพราะยิ่งทำมากเราก็จะเยอะมากขึ้น ดังนั้นวิณัชชาจึงเลือกที่จะทำงานบริษัทเล็กๆ ที่เค้าจ่ายเงินเดือนเราได้ดี แต่หน้าที่อาจจะมีเยอะขึ้น เพราะไม่ได้มีหลายแผนกเหมือนบริษัทใหญ่ ๆ พอได้มาทำของตัวเองก็ทำได้หมด เพราะเราถูกฝึกให้มีความอดทน ไม่ย่อท้อในการทำงาน ลูกน้องไม่ทำเราทำ และเราจะกลัวทำไมถ้าเจอลูกน้องไม่ดี เราก็ทำเองและให้เค้าออกไปหางานใหม่ก็จบปัญหากันไป
อันดับที่สาม วิณัชชาไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง ไม่เคยให้สิ่งแวดล้อมมากำหนดตัวตนของเรา ถ้ารู้สึกว่างานที่ทำหรือสภาพสิ่งแวดล้อม หรือเพื่อนร่วมงานไม่ใช่ที่เราอยากอยู่ หรือทำให้เราไม่มีความสุข วิณัชชาก็จะทำเรื่องขอลาออก เพราะเราไม่จำเป็นต้องทนอยู่ เราสามารถไปอยู่ที่อื่นได้ ไม่กลัวการเปลี่ยนงานใหม่ ทำให้เป็นคนปรับตัวได้ค่อนข้างเร็ว แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนงานบ่อยๆ ส่วนมากก็ทำงานเป็นปีถึงจะเปลี่ยน หรือเราลองทำงานนั้นแล้ว รู้สึกว่าไม่ใช่เราก็ออกดีกว่า ให้เค้ารับคนที่เหมาะสมกว่าเราจะดีกว่า ดังนั้นเวลามาอยู่พะงันเราก็ไม่กลัวสิ่งแวดล้อมใหม่ ปรับตัวให้เร็ว เรียนรู้ให้ไว ทำงานด้วยความรอบคอบ ไม่นานทุกคนๆ ก็ยอมรับในความสามารถของเรา
ข้อที่ 4 เราต้องเป็นเหมือนรวงข้าวที่โน้มตัวลงต่ำได้ ถึงเราจะเริ่มรู้สึกประสบความสำเร็จ ถ้าเราสามารถทำงานได้กับทุกระดับชั้น เราเข้าได้กับทุกคนที่เราทำงานด้วย ก็จะทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น เราต้องรู้จักการสร้างทีม ทำงานเป็นทีม อย่าเป็นพวกเก่งอยู่คนเดียว เพราะคุณจะเหนื่อยอยู่คนเดียว แถมทีมก็ไม่มีความสามัคคี เผลอๆ อาจจะมีแต่เรื่องดราม่าทะเลาะเบาะแว้งกัน วิณัชชาเชื่อว่าเราไม่สามารถทำอะไรคนเดียวหมดได้ และการที่เราทำให้เพื่อนร่วมงานรู้ถึงความจริงใจที่เรามีให้กับทีม มันจะมีพลังสามัคคีที่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ให้กับบริษัทได้ และมันก็ส่งประโยชน์มาให้ทุกๆ คนในบริษัทด้วย ดังนั้นรีสอร์ทของวิณัชชากับสามี เด็กๆ จะรู้เลยว่าต้องทำงานเป็นทีมห้ามเกี่ยงงานกัน และเจ้านายพร้อมที่จะลงไปช่วยเพราะเราคือทีมเดียวกัน เรารับฟังทุกปัญหาที่เกิดขึ้นของเด็กๆ และเราจะอธิบายเหตุผลในทุกครั้งว่า ทำไมได้และทำไมไม่ได้ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจเหตุผลของเจ้านาย การที่พนักงานเข้าใจทิศทางของเจ้าของกิจการว่าต้องการแบบไหน และเค้าสามารถทำได้ การทำงานก็จะไหลลื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตามเจ้าของก็ต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน กับผู้ใต้บังคัญบัญชา ไม่ใช่จะใช้แต่พระเดชต้องมีพระคุณ และที่ทำสำคัญ เราเมตตาเค้าไม่ได้หมายถึงเราโง่ อ่อนแอ เรามีน้ำใจให้เค้ามันคือสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถ้าเค้าไม่เห็นน้ำใจของเราก็ไม่ต้องไปทวงบุญคุณ การทำงานร่วมกันไม่มีคำว่าบุญคุณ มีแต่ตอบแทนกันด้วยผลประโยชน์ เช่น ค่าจ้างที่เค้าต้องได้รับ และการทำงานให้ตรงกับตำแหน่งที่มอบหมายให้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ Win-Win Situation
ข้อที่ 5 การเอาใจเค้ามาใส่ใจเรา ควรจะมองทั้งในมุมนายจ้างและลูกจ้าง ให้ตัวเองอยู่ในจุดถ้าเราอยากได้นายจ้างที่ดี และลูกจ้างที่ดีควรจะเป็นยังไง และเราก็ทำแบบนั้น ตอนที่วิณัชชาเป็นนายจ้างใหม่ๆ เราก็ต้องพยายามคิดให้รอบคอบ มองในมุมที่เราเคยเป็นลูกจ้าง อะไรที่เราอยากได้จากนายจ้าง แล้วเอามาประยุกต์ใช้ ดังนั้นเราก็ต้องมีทั้งพระเดชและพระคุณ มีความเมตตาแต่ก็มีความเด็ดเดี่ยวด้วยเช่นกัน และไม่เป็นคนหูเบาเชื่อคนง่ายจากคำพูด ให้มีสติคิดให้รอบคอบ ฟังและมองให้รอบด้าน ไม่ปากเร็ว และไม่ต้องนินทา ที่สำคัญเราจะไม่พูดให้ลูกน้องเกิดความเสียหน้า เสียใจ พูดความจริงในเรื่องงานเท่านั้น ลูกน้องทำผิดไม่ใช่ว่าเค้าเป็นคนไม่ดี เค้าทำงานผิดเราต้องสอบถามเค้าว่าเกิดจากอะไร ทำไมถึงผิดพลาด หาทางป้องกัน แต่ถ้ายังทำผิดพลาด เราก็ต้องเรียกคุยทันที บางทีก็ต้องตาต่อตาฟันต่อฟัน หมายถึง ทำให้เค้ารู้ว่าเราเห็นทุกการกระทำ เราต้องคุยให้ชัดเจน ถ้าเค้าทำงานไปวันๆ และมันไม่ใช่แนวทางที่เราชอบ ก็ต้องบอกให้เค้ารับรู้และให้โอกาส แต่ถ้าเกิน 3 ครั้ง เราก็ต้องให้เค้าไปอยู่ที่อื่น อย่าเก็บคนที่จะแพร่เชื้อไม่ดีไว้ในองค์กร แต่ให้บำรุงรักษาคนที่ทำงานเพื่อองค์กร ไม่ใช่ว่าเราเห็นแต่ประโยขน์ของตัวเอง ว่ามีลูกน้องดีเราก็สบาย แต่ถ้าองค์กรอยู่ไม่ได้พนักงานก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ต้องมีทักษะในการอธิบายให้ลูกน้องที่มีประสบการณ์ชีวิตน้อยกว่าเราให้เค้าเข้าใจ และจะทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุข
นี้เป็นข้อคิดเล็กๆ น้อยๆ ที่วิณัชชาใช้กับตัวเองมาตลอด จนได้มีโอกาสทำธุรกิจร่วมกันกับสามีก็ผ่านพ้นไปได้ ถึงจะมีติดหล่มหรืออุปสรรค เราก็สามารถผ่านไปได้และทำมันได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี ติดขัดอะไรก็ยังผ่านไปได้ตลอด
ในวันที่มีคนมาเสนอให้เช่าสถานที่ทำรีสอร์ทขนาดเล็ก ทางสามีก็กังวล ตอนนั้นเรายังเป็นแฟนกันและอยู่กันมาได้ 2 ปี เข้าปีที่ 3 ก็เลยบอกเค้าไปว่า ให้ลองทำเลย แต่เราก็ใช้เวลาคิดแบบละเอียดรอบคอบ ด้วยสติและคำนึงถึงความสามารถที่เรามีอยู่ ทำให้เรามีความมั่นใจว่า ถ้าเราใช้ความพยายามเหมือนที่เราเคยทำให้คนอื่น มันจะเจ๊งก็ให้มันรู้ไป เพราะก็ได้ชื่อว่าได้ทำแล้ว แต่มันอาจจะไม่ใช่ทางของเรา ถึงโอกาสจะมา เราคว้าไว้ ลงมือทำ ใช่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่เราคาดหวัง แต่เราจะไม่เสียใจ เพราะเราได้ลงมือทำอย่างเต็มที่ เราก็จะได้บทเรียนมาสอนเราให้ลงมือทำต่อในอนาคต เวลาที่มีโอกาสเข้ามาอีก แต่ถ้าคนเราทำอะไรด้วยสติ ใช้ปัญญา และไม่คดโกง วิณัชชาคิดว่าวันที่เราสามารถควบคุมอนาคตของตัวเองจะมาในไม่ช้า
เมื่อโอกาสมาแล้วเราคว้าไว้ ไม่ปล่อยปะละเลยโอกาสนั้น ผลที่ได้มันมีแต่คุ้มกับคุ้ม บางคนใช้โอกาสพร่ำเพรื่อ นึกว่าโอกาสจะมาหาเราบ่อยๆ แต่เจ้าโอกาสนี้แหละจะตอบแทนเฉพาะคนที่เห็นคุณค่าของมัน ดังนั้นเปิดหูเปิดตามองหาโอกาส และฝึกฝนตัวเองให้พร้อมเมื่อโอกาสมาหาเรา
Comments